
“เสียบสด แตกใน” กับความล้มเหลวของกระบวนทัศน์การป้องกันเอดส์ในชุมชนเกย์ไทย
บทความเรื่องนี้ต้องการทำความเข้าใจปรากฎการณ์เกี่ยวกับเซ็กที่เกิดขึ้นในชุมชนเกย์ไทยในทศวรรษ 2000 หรือช่วง พ.ศ.2543-2552 ในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ชุมชนเกย์ขยายตัวออกไปมาก เห็นได้จากเกิดกลุ่มองค์กรเกย์ ได้แก่ สมาคมฟ้าสีรุ้ง องค์กรบางกอกเรนโบว์ และเครือข่ายที่ทำงานเกี่ยวกับโรคเอดส์ในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย กลุ่มเกย์เหล่านี้คือสัญลักษณ์ของการรวมตัวทางสังคมซึ่งมีกิจกรรมหลายอย่างที่ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพ และการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี อย่างไรก็ตาม กิจกรรมหลักที่องค์กรเกย์ถือปฏิบัติในช่วงทศวรรษนี้คือ การณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ และการส่งเสริมให้มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
กิจกรรมดังกล่าว ผู้เขียนขอเรียกว่า “กิจกรรมเซฟเซ็ก” (Safe Sex Activities) ซึ่งมีการสร้างคนทำงาน แกนนำและอาสาสมัครลงพื้นที่ต่างๆที่เป็นชุมชนของชาวเกย์ เพื่อให้ชาวเกย์มีพฤติกรรมทางเพศที่ปลอดภัย แต่ในขณะที่องค์กรเกย์ทำงานอย่างหนัก กลุ่มสถานบริการและธุรกิจเกย์ทั้งหลายซึ่งเติบโตมากในช่วงเวลาเดียวกันนี้ กลับส่งเสริมให้เกย์มีความต้องการทางเพศแบบไม่มีขอบเขต มีการยั่วยุเชิญชวนและโฆษณาโดยนำ “เซ็ก” มาเป็นจุดขาย โดยคิดว่าเซ็กคือสินค้าที่เกย์ต้องการไม่มีขีดจำกัด ปรากฎการณ์ดังกล่าวนี้ ผู้เขียนขอเรียกว่า “กิจกรรมฟรีเซ็ก” (Free Sex Activities) ซึ่งใช้ความใคร่และกามารมณ์เป็นเครื่องกระตุ้นเร้าให้เกย์มีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน ไม่อาย และไม่กลัว
บทความนี้พยายามชี้ให้เห็นว่าชีวิตทางเพศของเกย์ไทยยุค 2000 มีความหลักลั่น ความไม่ลงรอย และความขัดแย้งในตัวเอง ในด้านหนึ่งเกย์มีความเข้าใจถึงสถานการณ์โรคเอดส์ที่กำลังแพร่ระบาด แต่ในอีกด้านหนึ่งพวกเขาก็มีความต้องการทางเพศและปรารถนาที่จะปลดปล่อยความใคร่ได้ตลอดเวลา ดังนั้นการมีเพศสัมพันธ์แบบปลอดภัย กับการมีเซ็กแบบไม่มีขอบเขต จึงเป็นสิ่งที่เกย์ไทยต้องไกล่เกลี่ยด้วยตัวเอง ผู้เขียนไม่ต้องการที่จะตัดสินว่าเซ็กแบบไหนดีหรือเลวกว่ากัน รวมทั้งไม่ต้องการประณามระบบการค้าและทุนนิยมที่ทำให้เซ็กเป็นของที่ขาดไม่ได้ในชีวิตของเกย์ ผู้เขียนต้องการทำความเข้าใจประสบการณ์ชีวิตทางเพศของเกย์ ซึ่งเกย์แต่ละคนจะให้คุณค่าและความหมายจากการปฏิบัติทางเพศของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถุงยางอนามัย การมีเซ็กหมู่ (Orgy) สวิงกิ้ง การเปลี่ยนคู่นอน(มั่ว หรือส่ำส่อน) การหาเซ็กในที่สาธารณะ(Cruising) และการมีเซ็กแบบไม่ป้องกัน
การทำความเข้าใจชีวิตทางเพศของเกย์ไทยท่ามกลางความไม่ลงรอยของสิ่งเหล่านี้ เต็มไปด้วยสิ่งท้าทายทั้งระบบศีลธรรม และรสนิยมทางเพศ หากมองว่าอารมณ์ทางเพศของเกย์กำลังกลายเป็นเครื่องมือให้ธุรกิจ พ่อค้า นายทุนนำไปเป็นสินค้า ไม่ว่าจะเป็น ซาวน่า นวด สปา บาร์ คาราโอเกะ ดิสโก้เธค ผับ เว็บไซต์ อินเตอร์เน็ต นิตยสาร และหนังโป๊ เราจะพบว่าสิ่งเหล่านี้ได้รับความนิยมในหมู่เกย์จำนวนมาก เกย์ไม่ปฏิเสธที่จะเข้าไปใช้ชีวิตในโลกสินค้าเหล่านี้ คำถามคือ โลกที่เน้นเซ็กทำให้ชีวิตเกย์ต้องไกล่เกลี่ยกับคุณค่าทางศีลธรรม ความรัก ความสัมพันธ์ และเซ็กที่ปลอดภัยมากขึ้นใช่หรือไม่ แต่การไกล่เกลี่ยดังกล่าวยังเป็นเรื่องที่สังคมไม่เข้าใจและมักจะตัดสินว่าเซ็กที่ดีคือการรู้จักป้องกัน ยับยั้งชั่งใจ ซื่อสัตย์ และรักเดียวใจเดียว ส่วนเซ็กที่ไม่ดีคือการไม่ป้องกัน ไม่รู้จักพอ มั่ว ส่ำส่อนและไม่ซื่อสัตย์
การตัดสินว่าอะไรคือเซ็กที่ดีและไม่ดี เกิดขึ้นในหมู่นักวิชาการ นักศีลธรรม นักกิจกรรม นักเคลื่อนไหว และนักต่อสู้เพื่อชาวเกย์ จนกลายเป็นการแบ่งแยกคู่ตรงข้ามแบบขาวและดำ ผู้ที่ถูกกล่าวหามากที่สุดคือนายทุนที่เป็นเจ้าของธุรกิจและสถานประกอบการทั้งหลายที่ยุงยงส่งเสริมให้เกย์มีเซ็กแบบไม่ป้องกันและส่ำส่อน เกิดการโจมตีและตำหนิกันไปมา โดยมองไม่เห็นประสบการณ์ระดับบุคคลที่เกย์คนหนึ่งกำลังต่อรอง ไกล่เกลี่ย และให้คุณค่ากับการปฏิบัติทางเพศของตัวเอง บทความนี้จะนำประสบการณ์เหล่านั้นมาถ่ายทอดเพื่อชี้ให้เห็นแง่มุมต่างๆที่เกย์คนหนึ่งสามารถเลือกและปฏิเสธ คล้อยตามหรือต่อต้าน เชิดชูหรือดูแคลน สิ่งเหล่านี้อาจบ่งบอกว่าประสบการณ์ชีวิตทางเพศของเกย์มิได้แยกสีขาวและสีดำออกจากกันอย่างสิ้นเชิง แต่ทั้งสองด้านปะปนอยู่ในช่วงชีวิตของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนตระหนักว่าการไกล่เกลี่ยเหล่านั้นได้สร้างจินตนาการ หรือแฟนตาซีในเรื่องเซ็กให้กับเกย์ แต่จินตนาการเหล่านั้นถูกครอบงำด้วยอำนาจบางอย่างที่เกย์มองไม่เห็น นั่นคืออำนาจของความรู้ชี้นำที่ถูกสร้างจากสถาบันทางสังคม (Tim Edwards: 1994) เช่น นิยามของเซ็กและความรักที่สังคมยกย่องการรักเดียวใจเดียวและความซื่อสัตย์ต่อคนรัก และตำหนิความเจ้าชู้หลายใจและส่ำส่อนทางเพศ สังคมมักจะประณามว่าเกย์เป็นคนที่มีความต้องการทางเพศสูง รักง่ายหน่ายเร็ว และไม่รู้จักพอในเรื่องเซ็ก ความรู้ดังกล่าวนี้แพร่หลายออกไปด้วยสื่อกระแสหลัก ทำให้เกย์สร้างความหมายในชีวิตทางเพศของตนเองผ่านการตอกย้ำเรื่องเซ็กที่ดีและสะอาดกับเซ็กที่เลวและสกปรกอยู่ตลอดเวลา บทความนี้ต้องการสะท้อนอำนาจของความรู้เรื่องเพศเหล่านี้ว่าส่งผลต่อพฤติกรรมและการปฏิบัติทางเพศของเกย์อย่างไร
ผู้เขียนหวังว่าการศึกษากามารมณ์และความใคร่ของเกย์ จะไม่จำกัดอยู่เฉพาะการตัดสินว่าอะไรดีหรือไม่ดีด้วยกรอบความคิดบางแบบ หากแต่หวังที่จะเห็นการยกระดับองค์ความรู้และกรอบแนวคิดทฤษฎีที่ใช้ศึกษาสิ่งเหล่านี้ด้วย บทความเรื่องนี้จึงนำประสบการณ์ของเกย์ไทยมาเป็นเครื่องมือในการถกเถียงเชิงทฤษฎี เพื่อชี้ให้เห็นรากเหง้า ที่มาที่ไปของแนวคิด อุดมการณ์ โลกทัศน์ และกระบวนทัศน์ที่สร้างความรู้เกี่ยวกับเซ็กของเกย์ ข้อถกเถียงในบทความนี้จึงเป็นความพยายามที่ก้าวข้ามพ้นไปมากกว่าการถ่ายทอดประสบการณ์ทางเพศ แต่เคลื่อนไปสู่ญาณวิทยาและการวิพากษ์วิธีการแสวงหาความจริงเกี่ยวกับเกย์ภายใต้กระบวนทัศน์ Sexuality แบบตะวันตก
ปฏิบัติการของเซฟเซ็ก
ในชุมชนเกย์ ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ปรากฎอยู่ในนิตยสารเกย์รุ่นแรกๆในช่วงทศวรรษ 2520 เช่น นิตยสารมิถุนา นีออน มรกต และมิดเวย์ โดยในปี พ.ศ.2527 นิตยสารมิถุนา(ฉบับที่ 2)ได้นำเสนอบทความเกี่ยวกับโรคเอดส์เป็นครั้งแรก ข้อมูลส่วนใหญ่ได้มาจากข่าวจากโลกตะวันตก รวมทั้งบทความทางด้านการแพทย์ที่อธิบายเกี่ยวกับอาการป่วยและการติดเชื้อ ในยุคนี้โรคเอดส์เป็นโรคที่น่ากลัวและสังคมก็ตีตราว่าเป็น “โรคของเกย์” หรือ Gay Related Immune Deficiency (GRID) (Tim Edwards: 1994,125) ในประเทศสหรัฐอเมริกาโรคเอดส์แพร่ในชุมชนเกย์อย่างกว้างขวางในช่วงต้นทศวรรษ 1980 จนทำให้เกิดกลุ่มองค์กรเกย์ออกมาทำงานเพื่อรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ มีการสอนวิธีการป้องกันและรักเดียวใจเดียว รวมถึงการเรียกร้องให้รัฐบาลหันมาสนใจปัญหาสุขภาพและการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ของเกย์ที่ล้มป่วย องค์กรที่มีบทบาทสำคัญคือ Gay Men’s Health Crisis (GMHC), The National Gay and Lesbian Task Force และ กลุ่ม ACT UP (The Aids Coalition to Unleash Power)
องค์กรเกย์ในทศวรรษที่ 1980 เป็นต้นมาจึงพยายามต่อสู้เพื่อทำให้สังคมมีความเข้าใจว่าเอดส์มิใช่โรคของเกย์แต่อย่างใด กลุ่มเกย์ที่มีฐานะและมีการศึกษาได้เข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมจำนวนมาก มีผลทำให้การเคลื่อนไหวของเกย์ต้องเกี่ยวกับกับหน่วยงานภาครัฐมากขึ้น เป็นการหันเหออกจากประเด็นเรื่องสิทธิเสรีภาพไปสู่การตั้งคำถามเกี่ยวกับเซ็ก ทำให้เกย์ต้องหันมารับผิดชอบเรื่องปัญหาสุขภาพ เกย์ที่เป็นนักเคลื่อนไหวออกมาโจมตีและเรียกร้องให้ปิดโรงอาบน้ำ หรือซาวน่าของเกย์ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นสัญสักษณ์เสรีภาพทางเพศของชาวเกย์ (Roger Streitmatter: 1995,245) อย่างไรก็ตาม ชีวิตเกย์ที่เกี่ยวข้องกับเอดส์ สะท้อนให้เห็นข้อวิพากษ์ที่สำคัญขององค์กรเกย์แบบฝ่ายซ้าย ซึ่งเคยอธิบายว่าเมื่อทุนนิยมเข้ามาครอบงำชีวิตของเกย์ ไม่ว่าจะเป็นบาร์หรือโรงอาบน้ำ จะทำให้ความสัมพันธ์ของเกย์กลายเป็นเพียงการแลกเปลี่ยนทางวัตถุ กล่าวคือ สถานเริงรมย์ของเกย์ทำให้เกย์ลดความเป็นมนุษย์ลงไป เพราะเกย์สนใจแต่เพียงความใคร่และกามารมณ์ บาร์เกย์ทำให้ความสัมพันธ์ของเกย์เปลี่ยนจากเรื่องความรักไปสู่เรื่องเซ็กซ์ (Ken Plummer: 1992, 177) และการแพร่ระบาดของเอดส์ในหมู่เกย์ก็เป็นผลมาจากความสัมพันธ์ที่เน้นเรื่องเซ็กซ์เป็นสำคัญ ข้อวิพากษ์ดังกล่าวนี้คือปฏิบัติการของเซฟเซ็กที่โจมตีสถานบริการ เป็นการยืนอยู่ด้านตรงข้ามระหว่างเซ็กที่ปลอดภัยกับเซ็กที่อันตราย
สำหรับประเทศไทย ในระยะแรกๆโรคเอดส์สร้างภาพลบให้กับเกย์ เพราะสังคมเชื่อว่าเอดส์เป็นโรคที่เกย์สร้างขึ้นเพราะความส่ำส่อนทางเพศของเกย์ (Peter A. Jackson: 1995,283) ความเชื่อดังกล่าวนี้ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับเกย์มารวมตัวกันในปี พ.ศ.2529 เพื่อประเมินสถานการณ์เอดส์ที่จะกระทบธุรกิจบาร์เกย์ จึงร่วมมือกับกองควบคุมกามโรคเพื่อให้ความรู้โรคเอดส์กับเด็กบาร์ ต่อมาในปี พ.ศ.2530 บรรณาธิการนิตยสารเกย์ 5 ฉบับได้รวมตัวกันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับเกย์ เพื่อมิให้สังคมประณามว่าเกย์เป็นคนชั่ว จนถึงปี พ.ศ.2531 กลุ่มธุรกิจเกย์และกลุ่มเกย์ที่ติดต่อกับภาครัฐได้รวกันตั้งกลุ่มชื่อ “กลุ่มเกย์สร้างสรรค์แห่งประเทศไทย” ซึ่งมีเป้าหมายรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ (เทอดศักดิ์ ร่มจำปา: 2545,175) แต่กลุ่มนี้ก็ไม่ได้ทำงานในเชิงกระบวนการ มีการรวมตัวกันเฉพาะวันสำคัญๆ จนกลุ่มค่อยๆจางหายไป
ในปี พ.ศ.2532 นที ธีระโรจนพงษ์ ได้ตั้งกลุ่มชื่อ ภราดรภาพยับยั้งโรคเอดส์แห่งประเทศไทย (Fraternity for AIDS Cessation in Thailand หรือ FACT) (Peter A. Jackson: 1995,228) กลุ่มนี้จะให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ในบาร์เกย์ ซาวน่าเกย์ และจัดกิจกรรมพบปะแลกเปลี่ยนข่าวสารและให้คำปรึกษาปัญหาเกย์ รวมทั้งมีการผลิตจุลสารกุลเกย์เพื่อเผยแพร่ข่าวสารต่างๆในชุมชนเกย์ จนถึงปี พ.ศ.2542 คุณกมลเศรษฐ์ เก่งการเรือและเพื่อนๆได้มารวมตัวกันเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาชีวิตและสุขภาพของเกย์ในช่วงที่โรคเอดส์กำลังแพร่ระบาดในกลุ่มชายรักชาย จึงมีการตั้งกลุ่มเพื่อนวันพุธขึ้น เป้าหมายของกลุ่มนี้คือให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพ ความรู้เกี่ยวกับเอชไอวีเอดส์ การป้องกันตัวจากการติดเชื้อ การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย การดูแลรักษาตัวเองเมื่อรู้ว่าติดเชื้อแล้ว ให้คำแนะนำเกี่ยวกับสถานพยาบาลและการใช้ยา การให้กำลังใจซึ่งกันและกัน รวมถึงการส่งเสริมอาชีพของเกย์ เพื่อให้เกย์มีรายได้และอยู่ในสังคมได้ คนทำงานในกลุ่มนี้ตระหนักว่าสังคมยังคงไม่เข้าใจเกย์และมองว่าเกย์เป็นพาหะของโรคเอดส์ หรือเป็นคนที่ส่ำส่อนทางเพศ ด้วยเหตุนี้คนทำงานจึงมุ่งที่จะให้ความรู้แก่สังคมว่าเกย์มิใช่คนที่อันตรายหรือน่ารังเกียจ
กลุ่มเพื่อวันพุธ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นกลุ่มเส้นทางสายรุ้ง และองค์กรฟ้าสีรุ้ง และในที่สุดก็ตั้งเป็นสมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทยในปี พ.ศ. 2546 และได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานในประเทศและต่างประเทศที่ทำงานด้านเอดส์ ได้แก่ Family Health International (FHI) UNAIDS องค์กรหมอไร้พรมแดน มูลนิธิรักษ์ไทย มูลนิธิดวงประทีป กองโรคเอดส์กรุงเทพฯ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานบริหารโครงการกองทุนโลก เป็นต้น กิจกรรมของสมาคมฯ จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ การให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ และการส่งเสริมให้เกย์มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย มีการแจกถุงยางอนามัย โดยลงพื้นที่ต่างๆ เช่น สวนสาธารณะ ซาวน่า บาร์ และสถานบันเทิงของชาวเกย์ รวมทั้งในสถาบันการศึกษาหลายแห่ง กิจกรรมที่สำคัญคือ ค่ายทักษะชีวิตพิชิตเอดส์ กลุ่มเป้าหมายคือเกย์ และชายรักชาย ค่ายนี้จะให้ความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์และการมีเพศสัมพันธ์แบบปลอดภัย รวมถึงเสริมทักษะการใช้ชีวิตที่ไม่สร้างปัญหาให้กับสังคมและมีความภาคภูมิใจในตัวเอง จนถึงปัจจุบันมีเกย์จำนวนมากเข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว เกย์บางคนเป็นอาสาสมัครเพื่อทำงานในพื้นที่ บางคนกลายเป็นแกนนำ เป็นวิทยากรที่ถ่ายทอดความรู้ให้กับเกย์คนอื่นๆ ปัจจุบัน ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเอดส์และเซฟเซ็กของสมาคมฯ สามารถหาได้จากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ วารสารสายฝนต้นรุ้ง แผ่นพับ คู่มือ และการให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ หรือ ฮอตไลน์สายสบายใจ
นอกเหนือจากสมาคมฟ้าสีรุ้งแล้ว ยังมีองค์กรบางกอกเรนโบว์ ก่อตั้งในปี พ.ศ.2545 โดยนิกร อาทิตย์และกลุ่มคนที่ทำงานด้านเอดส์และเพศศึกษาซึ่งเคยทำงานกับสมาคมฟ้าสีรุ้งมาก่อน เป้าหมายขององค์กรคือให้คำปรึกษาเบื้องต้นเกี่ยวกับการติดเชื้อเอดส์ ปัญหาเรื่องเพศในกลุ่มเยาวชนชาย และกลุ่มเยาวชนชายที่มีพฤติกรรมรักเพศเดียวกัน รวมทั้งจัดกิจกรรมทางวิชาการ เช่นเสวนาประเด็นเกย์ สื่อของเกย์ ภาพยนตร์ของเกย์ เป็นต้น ในปี พ.ศ.2547 บางกอกเรนโบว์จัดกิจกรรมค่ายวัยใสห่างไกลเอดส์ และค่าย Love Trip ซึ่งมีรูปแบบและเนื้อหาสาระคล้ายกับค่ายของสมาคมฟ้าสีรุ้ง องค์กรอื่นๆที่ทำงานเกี่ยวข้องกับให้ส่งเสริมสุขภาวะทางเพศในกลุ่มเกย์และชายรักชาย ได้แก่ กลุ่มเอ็มพลัส และกลุ่มบ้านสีม่วง จังหวัดเชียงใหม่ และ กลุ่มสายรุ้งโพธาราม จังหวัดราชบุรี
การลงพื้นที่ของอาสาสมัครและเจ้าหน้าที่ในองค์กรเกย์เหล่านี้ เป็นประสบการณ์ของคนทำงานด้านเพศที่ต้องเรียนรู้ในสถานการณ์ต่างๆ เนื่องจากมักจะพบปัญหาและอุปสรรค เช่น การเข้าไปในซาวน่า เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง เพราะชาวเกย์ที่เข้าไปเที่ยวซาวน่ามักจะไม่ค่อยสนใจและคิดว่าอาสาสมัครกำลังรบกวนเวลาส่วนตัวของพวกเขา อาสาสมัครจึงต้องเลือกพูดคุยกับผู้ที่เต็มใจที่จะรับฟังความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์ อีกกรณีหนึ่งคือ การลงพื้นที่สวนสาธารณะในเวลากลางคืน อาสาสมัครอาจเสี่ยงต่อกลุ่มมิจฉาชีพ และเสี่ยงต่อการถูกตำรวจจับ เนื่องจากการแจกถุงยางอนามัยในสวนสาธารณะจะถูกมองว่าเป็นการส่งเสริมการค้าประเวณี อาสาสมัครบางคนต้องถูกจับไปโรงพัก หรือเสียค่าปรับ กรณีดังกล่าวเป็นบทเรียนสำคัญของการทำงานเกี่ยวกับเพศซึ่งนโยบายส่งเสริมการมีเพศสัมพันธ์แบบปลอดภัย กลายเป็นเรื่องขัดแย้งกับการป้องกันการค้าประเวณี
เป้าหมายของการรณรงค์ให้เกย์มีเพศสัมพันธ์แบบปลอดภัย หรือปฏิบัติการเซฟเซ็ก ก็เพื่อลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย และส่งเสริมให้ชายรักชายมีความรู้ ความเข้าใจถึงพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ รวมทั้งเชิญชวนให้ไปตรวจเลือดเพื่อให้ทราบว่าตนเองได้รับเชื้อมาแล้วหรือยัง ถ้าได้รับเชื้อมาแล้ว ก็จำเป็นต้องดูแลรักษาสุขภาพของตนเองและป้องกันการติดเชื้อเพิ่ม รวมทั้งไม่แพร่เชื้อไปให้ผู้อื่น เป้าหมายดังกล่าวนี้คือความพยายามที่จะทำให้เกย์เปลี่ยนพฤติกรรมทางเพศที่คำนึงถึงความปลอดภัย รู้จักการป้องกัน และการไม่แพร่เชื้อให้กับผู้อื่น วิธีปฏิบัติสำหรับการมีเพศสัมพันธ์แบบปลอดภัยในกลุ่มชายรักชายที่สำคัญคือ การส่งเสริมให้ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ จะเห็นได้ว่าการแจกถุงยางอนามัยเป็นกิจกรรมที่องค์กรเกย์ทั้งหลายปฏิบัติเป็นกิจวัตร บางครั้งถุงยางจะถูกแจกพร้อมกับเจลหล่อลื่น ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการมีเพศทางทวารหนักซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติที่นิยมในหมู่เกย์
ปฏิบัติการเซฟเซ็กขององค์กรเกย์ ถูกตั้งคำถามว่าอัตราการติดเชื้อรายใหม่ของชาวเกย์ลดลงหรือไม่ การรณรงค์ดังกล่าวประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่สถิติการติดเชื้อในกลุ่มชายรักชายมีเพิ่มมากขึ้น กล่าวคือ ในปี พ.ศ.2546 อัตราการติดเชื้อร้อยละ 17.3 เพิ่มขึ้นในปี พ.ศ.2550 เป็นร้อยละ 30.7 (ธนรักษ์ ผลิพัฒน์และคณะ: 2551,3) และกลุ่มเกย์ในสวนสาธารณะเป็นกลุ่มที่มีการติดเชื้อเอชไอวีมากที่สุด ในปี พ.ศ.2550 กลุ่มเกย์มีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยร้อยละ 65.8 จากข้อมูลดังกล่าวนี้แสดงว่ายังมีเกย์อีกจำนวนมากที่ไม่คำนึงถึงการป้องกันหรือเซฟเซ็ก หากมองดูเกย์ในโลกตะวันตกก็จะพบว่าตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา แนวโน้มของเกย์ที่ไม่นิยมใช้ถุงยางอนามัยมีเพิ่มขึ้น (Michael Shernoff: 2006, 24) คำถามที่น่าสนใจคือ การติดเชื้อเอชไอวีเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติและรสนิยมทางเพศของเกย์อย่างไร ชาวเกย์ให้ความสำคัญกับสิ่งใดระหว่าง เซ็กที่ปลอดภัย เซ็กที่สนุกสนาน และเซ็กที่ไม่ป้องกัน เราจะเข้าใจอารมณ์และความสุขทางเพศของเกย์อย่างไรเมื่อเซ็กเกิดขึ้นในสถานการณ์ที่หลากหลาย และกับคนที่คิดต่างกัน คำถามเหล่านี้เป็นเรื่องที่องค์กรเกย์ต้องกลับมาทบทวน
ปฏิบัติการของฟรีเซ็ก
สังคมไทยได้ยินข่าวเกี่ยวกับบาร์เกย์ครั้งแรกในปี พ.ศ.2515 เพราะหนังสือพิมพ์ไทยรัฐไปสัมภาษณ์เจ้าของบาร์เกย์ย่านพัฒน์พงษ์ที่ชื่อยศวดี ซึ่งเป็นคำอธิบายครั้งแรกที่บอกว่าสังคมไม่ควรเหยียดหยามเกย์ บาร์เกย์ของยศวดี (เทอดศักดิ์ 2545) ถือว่าเป็นชมรมเกย์แห่งแรกของประเทศไทย เพราะมีสมาชิกประมาณ 3,000 คน มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ บาร์แห่งนี้เป็นที่พบปะสังสรรค์ เป็นที่หาเพื่อน หาคนรักของชายรักชาย หรือ “หนุ่มรักร่วมเพศ” ผู้ชายที่มาเที่ยวบาร์จะเรียกตัวเองว่าเกย์ มีทั้งเกย์คิงและเกย์ควีนและส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีการศึกษา ในช่วงทศวรรษนี้ (พ.ศ.2510-2520) เป็นช่วงที่ทหารอเมริกันหลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทยเพื่อทำภาระกิจในสงครามเวียดนาม เกิดบาร์เกย์ในย่านพัฒน์พงษ์ ซึ่งมีลูกค้าชาวตะวันตกมาใช้บริการ ผู้ชายที่มาทำงานในบาร์จะรู้จักกันในนาม “เด็กออฟ” ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายจากต่างจังหวัดที่มีฐานะยากจน ผู้ชายเหล่านี้จะสวมกางเกงในตัวเดียวและยืนเต้นอยู่บนเวทีเพื่อให้ลูกค้าเลือก บาร์เกย์ในยุคแรกๆ เช่น ทไวไลท์ และทิวลิป ส่วนสถานเริงรมย์ได้แก่ โรมคลับและอพอลโล่ (Peter A. Jackson: 1995, 230)
ต่อมาในช่วงทศวรรษ 2520-2530 สถานเริงรมย์ของเกย์มีเพิ่มมากขึ้น และขยายออกไปยังเขตอื่นๆ เช่น สะพานควาย สุขุมวิท สาทร รูปแบบของสถานเริงรมย์มีความหลากหลายมากขึ้น เช่น มีซาวน่า ผับ คาราโอเกะ สถานที่ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ บาร์หนวดอินเตอร์ในซอยสุขุมวิท 10 บาบิลอนซาวน่าในซอยสาทร 1 ต่อมาในช่วงทศวรรษ 2530-2540 เป็นยุคที่ซาวน่าเกิดขึ้นจำนวนมาก เช่นเดียวกับดิสโก้เธอและผับ สถานที่ที่ได้รับความนิยมมาก คือ ดีเจสเตชั่น ในสีลมซอย 2 ฟรีแมนซึ่งอยู่ระหว่างสีลมซอย 2 และ 4 ร้านเทเลโฟนในสีลมซอย 4 บาร์จูปิเตอร์ในย่านถนนสุริวงษ์ โอบิลิสต์ซาวน่าในย่ายสุขุมวิท และหลัง พ.ศ.2540 เป็นต้นมา สถานบริการประเภทนวดและสปาก็เกิดขึ้นเป็นทางเลือกใหม่ให้กับชาวเกย์ และพื้นที่ของเกย์ก็ขยายออกไปยังส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นย่านลำสาลี รามคำแหง รัชดา ย่านอ.ตก. จัตุจักร ย่านฝั่งธน ปิ่นเกล้า และรังสิต จากการเก็บข้อมูลของผู้เขียนจะพบว่าจากปี พ.ศ.2547 จนถึง พ.ศ.2552 สถานเริงรมย์ของชาวเกย์ในกรุงเทพฯมีเพิ่มขึ้น (ดูตาราง) สิ่งนี้สะท้อนว่าธุรกิจของชาวเกย์มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีรูปแบบที่หลากหลาย
จากตารางจะเห็นว่าสถานบริการเพื่อชาวเกย์มีจำนวนเพิ่มขึ้น ในปี พ.ศ. 2552 มีสถานบริการ 196 แห่ง เพิ่มจากปี พ.ศ.2547 ถึง 95 แห่ง หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่ม 95 เปอร์เซ็นต์ หรือเกือบเท่าตัว ในประเภทสถานบริการต่างๆ จะพบว่าสถานบริการประเภทนวดและสปามีการเพิ่มมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้นจาก 17 แห่งในปี พ.ศ. 2547 เป็น 63 แห่งในปี พ.ศ. 2552 เพิ่มขึ้นอีก 46 แห่งในระยะเวลา 5 ปี หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่ม 270 เปอร์เซ็นต์ สิ่งนี้สะท้อนว่าความนิยมในการใช้บริการนวดและสปาของเกย์มีมากขึ้น ส่วนสถานบริการที่มีจำนวนเพิ่มรองลงไป คือ ดิสโก้เธค โดยเพิ่มจากขึ้น 21 แห่ง หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่ม 175 เปอร์เซ็นต์ สถานบริการที่เพิ่มขึ้นเป็นอันดับสามคือคาราโอเกะ อันดับสี่คือบาร์อะโก้โก้ อันดับห้าคือซาวน่า และสถานบริการที่เพิ่มน้อยที่สุดคือร้านอาหารและผับ
จากข้อมูลดังกล่าวอาจทำให้เห็นภาพว่าการเติบโตของธุรกิจเกย์มีอย่างต่อเนื่อง ในทศวรรษ 2000 แบบแผนชีวิตทางเพศของเกย์อาจดูได้จากประเภทของสถานบริการ ถ้าการนวดและการทำสปาเป็นธุรกิจที่เติบโตมากที่สุดอาจทำให้เข้าใจว่าชาวเกย์นิยมแสวงหาความสุขและความสำราญจากสิ่งเหล่านี้ กล่าวคือ ลักษณะเด่นของนวดและสปาของเกย์คือการมีผู้ชายรูปร่างและหน้าตาดีมาคอยให้บริการ การแสวงหาความสุขแบบนี้นอกจากจะได้บำรุงสุขภาพแล้ว เกย์ยังได้ความสุขทางเพศจากชายหนุ่มที่สามารถนวดและมีเซ็กได้พร้อมกัน หรือรู้จักกันดีว่า “ได้ทั้งนวดและนาบ” อย่างไรก็ตามกลุ่มลูกค้าเกย์ที่มาใช้บริการนวดและสปาส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มคนทำงาน ผู้ที่มีรายได้ดีและมีรสนิยมในเรื่องสุขภาพ เพราะค่าบริการประเภทนี้ค่อนข้างสูง คือเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 500 บาท และจะต้องจ่ายเป็นค่าตัวเด็กนวด หรือทิปเด็กไม่น้อยกว่า 1,000 บาท ต่อการบริการ 1 ครั้ง
รูปแบบการนวดของสถานบริการประเภทนี้มีหลายรูปแบบ แต่ละแบบจะมีราคาที่ต่างกัน เช่น นวดน้ำมัน 1 ชั่วโมง ราคา 500 บาท ชั่วโมงครึ่ง 600 บาท 2 ชั่วโมง 750 บาท ถ้านวดแบบอโรมาเทราปี (Aromatherapy) 1 ชั่วโมง ราคา 600 บาท ชั่วโมงครึ่ง 800 บาท 2 ชั่วโมง 1,000 บาท เป็นต้น ราคาค่าบริการจึงแตกต่างกันตามชนิดของการนวดและระยะเวลานวด ปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจนวดสปาของเกย์มีค่อนข้างสูง ทำให้สถานบริการต่างๆ พยายามทำการตลาดและโปรโมชั่นเพื่อลดราคาให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ เช่นการนวดน้ำมัน 1 ชั่วโมง อาจมีราคาประมาณ 300-400 บาท นอกจากนนั้นยังมีบริการนวดนอกสถานที่ ลูกค้าสามารถโทรศัพท์มาที่ร้านและสั่งให้พนักงานนวดตามความชอบใจของลูกค้าออกไปหาลูกค้ายังที่พักได้ ซึ่งลูกค้าจะต้องจ่ายค่าบริการเพิ่ม อัตราการบริการต่างๆ เจ้าของสถานบริการจะเป็นผู้กำหนดแบบตายตัว ทั้งค่าบริการนวดและค่าตัวของเด็กหรือค่าทิป
สถานบริการแต่ละแห่งจะเสนอโปรโมชั่นแบบต่างๆมาต่อสู้กับคู่แข่ง เช่น ถ้าใช้บริการเด็กนวด 4 คนในเวลาเดียวกันจะคิดราคาเพียง 1,500 บาท บริการแบบนี้เรียกว่าบริการแบบเพคเกจ ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการจะได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การใช้อินเตอร์เน็ต ห้องออกกำลังกาย มุมกาแฟและร้านอาหาร ห้องอบไอน้ำ อ่างน้ำวน และเมื่อเรียกใช้บริการนวดก็จะมีห้องส่วนตัวที่ลูกค้าและเด็กนวดสามารถทำกิจกรรมแบบส่วนตัว เด็กนวดที่มาให้บริการมีทั้งผู้ที่เป็นเกย์และเป็นผู้ชาย อายุระหว่าง 20-30 ปี เด็กส่วนใหญ่จะต้องมีทักษะการนวด มีรูปร่างและหน้าตาดี หรือประเภท “หล่อล้ำ” ทางร้านจะมีการสอนวิธีการนวดและมีที่พักให้ ถ้าเด็กสามารถทำให้แขกประทับใจ เด็กคนนั้นก็จะมีลูกค้าประจำ สถานบริการประเภทนวดและสปามีกระจายอยู่ทั่วกรุงเทพ แต่จะมีการกระจุกตัวมากในย่านสุขุมวิท สาทร และสีลม สถานที่ที่ได้รับความนิยม แก่ ฮีโร่ในย่านสุขุมวิท
สถานบริการที่มีการเติบโตรองลงไปคือ ดิสโก้เธค สถานบริการประเภทนี้จะได้รับความนิยมในหมู่เกย์วัยรุ่นที่กำลังอยู่ในวัยเรียนหรือเพิ่งทำงานใหม่ๆ สถานที่ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันได้แก่ จีสตาร์ในย่านรัชดา ไอซีเค และเคสเตชั่นในย่านลำสาลี สาเกในย่านราชดำเนิน นอกจากนั้นยังมีผับในย่าน อ.ต.ก. ได้รับความนิยมในหมู่เกย์วัยรุ่นเช่นกัน ปัจจุบันดิสโก้เธคและผับเกย์จะจัดกิจกรรมต่างๆมากมาย แต่ละอาทิตย์ นักเที่ยวราตรีสามารถเปลี่ยนที่เที่ยวเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆได้ตลอด เช่น ประกวดนายแบบ หนุ่มหล่อ ประกวดสาวประเภทสอง ประกวดเต้นแดนเซอร์ ประกวดโคโยตี้ เซ็กซี่บอยโชว์ แฟชั่นโชว์ชุดว่ายน้ำของผู้ชาย เป็นต้น จะเห็นได้ว่าในช่วงเทศกาลงานประเพณีต่างๆจะมีกิจกรรมเกิดขึ้น เช่น ในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เทศกาลตรุษจีน วันวาเลนไทน์ เทศกาลสงกรานต์ วันแรงงาน วันฮัลโลวีน วันลอยกระทง เป็นต้น นอกจากนั้นอาจมีการจัดปาร์ตี้พิเศษ เช่น อีสานปาร์ตี้ ปาร์ตี้ต้อนรับฤดูร้อน ฤดูฝน และฤดูหนาว ปาร์ตี้เรตอาร์ และประกวดร้องเพลง
กิจกรรมที่ดึงดูดเหล่านี้ทำให้ดิสโก้เธคมีสีสัน มีชีวิตชีวา และไม่น่าเบื่อ ยิ่งมีลูกค้ามาใช้บริการ ชาวเกย์ก็ยิ่งถูกใจมากเพราะทำให้พวกเขาได้พบเจอเพื่อนใหม่ๆ หรือคู่ขาใหม่ๆ การมีคนมากเท่ากับการมีตัวเลือกมาก จะเห็นว่าสถานบริการที่มีคนมากๆ ชาวเกย์นิยมมาใช้บริการ ปัจจุบันดิสเธคหลายแห่งจะมีคณะแดนเซอร์ หรือคาบาเร่ต์โชว์มาแสดงประจำ เช่น ที่จีสตาร์ย่านรัชดาจะมีคณะซีเคแดนซ์แสดงประจำทุกคืน รวมทั้งคณะโคโยตี้ที่มีเด็กหนุ่มหน้าตารูปร่างดีมาเต้นโชว์เรือนร่างบนเวที หนุ่มๆที่เป็นโคโยตี้เหล่านี้จะต้องนุ่งกางเกงในตัวเดียว สวมรองเท้าบู้ท หรือสวมเครื่องประดับเพื่อเต้นตามจังหวะเพลง เสมือนเป็นการนำเรือนร่างผู้ชายมาอวดให้ลูกค้าเห็น แต่นักเต้นโคโยตี้ส่วนใหญ่จะมีรูปร่าง “สเลนเดอร์” ไว้หนวดเคราเล็กน้อย มีกล้ามพองาม และต้องไม่มีพุ่ง รูปร่างแบบนี้จะแตกต่างจากนักเล่นกล้ามและรูปร่างของเด็กนวด นอกจากกิจกรรมเหล่านี้แล้ว ดิสโก้เธคแต่ละแห่งจะมีโปรโมชั่นเครื่องดื่มเพื่อเอาใจลูกค้า เช่น มาก่อน 5 ทุ่ม เหล้าและมิกเซอร์ลด 50 เปอร์เซ็นต์ จองโต๊ะวันเกิด 10 คนขึ้นไป รับฟรีเหล้า 1 ขวด เป็นต้น
กิจกรรมที่ได้รับความนิยมในหมู่เกย์ มักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเซ็ก เช่น การประวดหนุ่มหล่อ หนุ่มเซ็กซี่ หนุ่มหน้าใส หนุ่มอันเดอร์แวร์ หนุ่มนักกีฬาหรือนักกล้าม การประกวดหนุ่มหรือการโชว์เซ็กซี่จึงเป็นสิ่งดึงดูดให้ชาวเกย์เข้ามาใช้บริการ ซึ่งพบได้ทั้งในดิสโก้เธค ผับ ร้านอาหาร ซาวน่า และบาร์อะโก้โก้ การประกวดและการโชว์หนุ่มหล่อเป็นสิ่งที่พบเห็นได้มากในช่วงทศวรรษ 2000 จนทำให้กลายเป็นวัฒนธรรมที่จะขาดไม่ได้ในสังคมเกย์ไทย เพราะสิ่งนี้ทำให้เซ็กกลายเป็นสินค้าและเป็นการกระตุ้นเร้าให้ชาวเกย์มีความต้องการทางเพศ จะพบว่าห้องน้ำของดิสโก้เธคแลละผับทั้งหลายกลายเป็นสถานที่ปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศ เป็นที่จับคู่ เป็นสถานที่พลอดรักหรือสำเร็จความใคร่
สถานบริการที่เป็นการปลดปล่อยเรื่องเซ็กโดยตรงคือซาวน่า จะพบว่าปัจจุบันซาวน่าในกรุงเทพฯจะมีกิจกรรมเชิญชวนให้เกย์แสดงออกทางเพศอย่างเปิดเผย ปรากฎการณ์ซาวน่าในทศวรรษ 2000 คือ การเปลือย ปัจจุบันซาวน่าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ 39 อันเดอร์กราวน์ในย่านสะพานควาย ฟารอส 2 ในย่านรามคำแหง ฉกรรจ์ในซอยอารีย์ ครุยซิ่งในย่านรัชโยธิน และซาวน่ามาเนียในย่านสีลม ซาวน่าเหล่านี้จะมีเกย์มาใช้บริการมาก ซึ่งแต่ละแห่งจะมีกิจกรรมเปลือยเพื่อดึงดูดลูกค้า ลูกค้าจำเป็นต้องรู้ว่าวันไหนที่ต้องเปลือย วันไหนนุ่งผ้าเช็ดตัว วันไหนนุ่งผ้าเตี่ยว หรือวันไหนที่ต้องใส่กางเกงใน ซาวน่าบางแห่งอาจมีระบบสมาชิกและเหมาจ่าย เช่น ฉกรรจ์มีบัตรราคา 499 บาท สามารถใช้บริการได้ 30 วัน ภุมรินซาวน่ามีบัตรราคา 239 บาทสำหรับเกย์ที่มีอายุไม่เกิน 23 ปี สามารถใช้บริการได้ 3 ครั้ง เป็นต้น ซาวน่าบางแห่งอาจมีการจัดโฟมบาร์ตี้ หรือมีโชว์เซ็กและอวัยวะเพศของนายแบบ ซาวน่าบางแห่งจะเปิดให้บริการถึงหกโมงเช้าในช่วงวันศุกร์และวันเสาร์
กิจกรรมที่ได้รับความนิยม เช่น ออร์จีไนท์ (Orgy Night) ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการจะต้องเปลือยกายโดยไม่มีอะไรปกปิด เกย์แต่ละคนจะมารวมตัวกันในห้องมืดเพื่อทำกิจกรรมทางเพศ เช่น เซ็กหมู่ ซึ่งจะมีคนอื่นๆมุ่งดูอยู่รอบๆ เกย์ที่ใจกล้าจึงมีความสนุกกับกิจกรรมประเภทนี้ การเปลือยกายในซาวน่าเปิดโอกาสให้ลูกค้าแต่ละคนเห็นรูปร่างสัดส่วนของคนอื่นๆ โดยเฉพาะเห็นอวัยวะเพศได้ชัดเจน เพื่อให้การเปลือยและเซ็กดำเนินไปได้ จำเป็นต้องทำให้สถานที่มืดสลัว ความมืดจะทำให้เกย์กล้าที่จะปฏิบัติกิจกรรมทางเพศ จะพบว่าในมุมมืดหรือห้องมืด จะมีเกย์จำนวนมากเข้าไปปลดปล่อยความใคร่ ไม่ว่าจะเป็นออรัลเซ็ก กอดจูบลูบคล้ำ “ชักว่าว” หรือสอดใส่ทางทวารหนัก การมีเซ็กและกามารมณ์ของเกย์แต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน บางคนจะมีอารมณ์ทางเพศเมื่อถูกกระตุ้นเร้าบริเวณองคชาต บางคนชอบจูบ บางคนชอบไซร้นม ซอกคอ หรือใบหู บางคนชอบแบบนุ่มนวล บางคนชอบแบบรุนแรง บางคนชอบสอดใส่(ฝ่ายรุก) บางคนชอบถูกสอดใส่ (ฝ่ายรับ) บางคนได้ทั้งรุกและรับ สำหรับการใช้ถุงยางอนามัย พบว่าไม่ใช่ซาวน่าทุกแห่งจะแจกถุงยางให้กับลูกค้า ทำให้การมีเซ็กของเกย์มีทั้งการใช้ถุงยาง และไม่ใช้ถุงยาง ซึ่งทำให้เกิดสภาพที่เกย์แต่ละคนจะต้องเลือกว่าตนเองจะมีเซ็กแบบไหน ลักษณะใด และจะมีกับคนประเภทไหน
กิจกรรมดังกล่าวนี้อาจดูเป็นเรื่องลามกอนาจาร และท้าทายต่อระบบศีลธรรม แต่เป็นเรื่องปกติธรรมดาสำหรับเกย์ที่ชอบฟรีเซ็กและเปลี่ยนคู่ วัฒนธรรมฟรีเซ็กของเกย์ในโลกตะวันตกเพิ่งเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1970 ซึ่งเป็นยุคของการเรียกร้องเสรีภาพและการเปิดเผยตัวตนทางเพศ (Michael Shernoff: 2006,41) อุดมการณ์เสรีภาพนี้ทำให้เกย์ใช้ชีวิตทางเพศอย่างเสรี ฟรีเซ็กจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของการไม่ตกเป็นทาสของสังคมรักต่างเพศ หากมองอย่างผิวเผินอาจตีความได้ว่าพฤติกรรมดังกล่าวนี้เป็นพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่เชื้อเอชไอวี แต่ในช่วงเวลาที่เกิดกิจกรรมประเภทนี้ เกย์แต่ละคนจะมีวิธีการไกล่เกลี่ยเพื่อที่จะทำให้ตนเองรู้สึกปลอดภัย อุ่นใจ มั่นใจ สบายใจจากการมีเพศสัมพันธ์ พร้อมกับให้ความหมายต่อสิ่งที่ตนเองกำลังทำอยู่ ประสบการณ์ของการไกล่เกลี่ยจึงเป็นสิ่งที่น่าศึกษาซึ่งจะอธิบายในลำดับต่อไป
ประสบการณ์เซ็กของเกย์ไทย
ผู้เขียนได้สัมภาษณ์และพูดคุยกับเกย์เกี่ยวกับประสบการณ์ทางเพศและการไกล่เกลี่ยระหว่างเซฟเซ็กและฟรีเซ็ก การพูดคุยในประเด็นดังกล่าวนี้เป็นเรื่องส่วนตัวที่ผู้ให้ข้อมูลอาจรู้สึกไม่กล้าและอายที่จะเล่าเรื่องเซ็กของตนเอง ผู้เขียนตระหนักดีว่าเรื่องดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาพูดในชีวิตประจำวัน ดังนั้น ผู้เขียนจึงเลือกที่จะพูดคุยกับบุคคลที่สนิทและเขาไว้วางใจ และพยายามสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง อย่างไรก็ตาม เรื่องเล่าอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ผู้เล่าเลือกที่จะหยิบยกบางฉากบางตอนมานำเสนอ เรื่องเล่าจึงถูกกลั่นกรองหรือปรับแต่งให้เหมาะสมเพื่อที่จะเล่าให้ผู้อื่นฟัง ผู้เขียนจึงนำเรื่องเล่าเหล่านี้ไปเปรียบเทียบกับประสบการณ์จริงที่ผู้เขียนเคยประสบพบเจอมาในสถานที่ที่เกย์ไปแสวงหาเซ็ก เพื่อที่จะตรวจสอบเรื่องเล่าว่าสอดคล้องหรือขัดแย้งกับเหตุการณ์ที่ผู้เขียนเคยพบเห็นมา
เรื่องเล่าประสบการณ์เซ็กของเกย์แต่ละคนที่นำมาถ่ายทอดในที่นี้ มีการพูดถึงสถานที่ที่อาจสร้างความเสียหายให้กับผู้ประกอบการหรือเจ้าของกิจการ ผู้เขียนจะไม่เอ่ยถึงชื่อจริงของสถานที่เหล่านั้น รวมทั้งจะใช้นามสมมติเพื่อแทนตัวเกย์แต่ละคนที่มาถ่ายทอดประสบการณ์ทางเพศของตนเอง รวมทั้งมีศัพท์หรือคำเรียกเฉพาะที่ชาวเกย์ใช้ในกลุ่มของตัวเอง ซึ่งบุคคลภายนอกอาจไม่เข้าใจ ผู้เขียนจะอธิบายคำศัพท์เหล่านั้นให้ผู้อ่านทั่วไปเข้าใจได้
เรื่องแรกเป็นของศักดิ์ (นามสมมติ) อายุ 24 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ปัจจุบันกำลังสมัครงาน ศักดิ์รู้ว่าตนเองมีรสนิยมทางเพศแบบเกย์ตั้งแต่เรียนในมหาวิทยาลัย ประสบการณ์เซ็กครั้งแรกเกิดขึ้นกับเพื่อนร่วมหอพักที่อยู่ห้องเดียวกัน เพื่อนของศักดิ์มีรูปร่างหน้าตาดี คืนวันหนึ่งเพื่อนก็ท้าให้ศักดิ์มาจับอวัยวะเพศของเขา เป็นการท้าชักว่าว (ใช้มือสำเร็จความใคร่) และต่อมาก็ท้าให้อมอวัยวะเพศ ศักดิ์รู้สึกตื่นเต้นและติดใจกับประสบการณ์ครั้งนั้น หลังจากนั้นก็รู้ว่าตนเองมีรสนิยมแบบนี้ เพื่อนที่เป็นเกย์แสดงออกในมหาวิทยาลัยจึงชวนศักดิ์ไปเที่ยวซาวน่าซึ่งศักดิ์ยังไม่รู้ว่าซาวน่าคืออะไร เมื่อไปถึงก็ต้องถอดเสื้อผ้าเก็บไว้ในล็อคเกอร์และใส่กางเกงในตัวเดียว ศักดิ์เรียนรู้ว่าในซาวน่าจะมีเกย์มาหาคู่และมีเซ็ก ครั้งแรกศักดิ์ก็มีคนเข้ามาคุยด้วยและมีเซ็กในท่า 69 (แต่ละฝ่ายใช้ปากดูดอมอวัยวะเพศให้กันและกัน) หลังจากนั้นศักดิ์ก็ไปเที่ยวซาวน่าอีกหลายแห่งและเกิดความชอบ ส่วนใหญ่ศักดิ์มีรสนิยมเป็นฝ่ายรับ (ถูกสอดใส่ทางทวารหนัก) ศักดิ์เล่าว่าครั้งแรกรู้สึกเจ็บมากและมีเลือดออก ถ้าเจอคนที่ถูกใจ รูป่างสูงใหญ่ ผิวขาว หุ่นดี ไม่แก่เกินไป ศักดิ์ก็จะยอมให้ แต่ถ้าเจอคนที่ใช้ความรุนแรง ไม่เล้าโลมหรือจูบไซร้ ศักดิ์จะปฏิเสธ
ศักดิ์เจอแฟนคนแรกตอนเรียนอยู่ชั้นปีที่ 4 แฟนของศักดิ์อายุประมาณ 30 กว่าปี อาชีพแพทย์ ส่งเสียค่าเทอมและค่าที่พักให้ศักดิ์ เหมือนเป็นผู้ปกครอง ระหว่างที่คบกับแฟนคนแรก ศักดิ์ก็ยังเที่ยวซาวน่า เที่ยวผับแถวอ.ต.ก. และเล่นเอ็มเอสเอ็นเพื่อหาคู่ทางอินเตอร์เน็ต ถ้าไปเที่ยวผับและเจอคนถูกใจก็จะพามามีเซ็กที่ห้อง ถ้าเล่นเอ็มเอสเอ็นก็จะชวนคนมาที่ห้อง จนวันหนึ่งแฟนของศักดิ์จับได้ว่าเขามีเซ็กกับคนอื่น แฟนจึงโกรธและไม่พูดดับศักดิ์หลังจากนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงจืดจางลงไป ศักดิ์ยอมรับว่าเขานอกใจคนรัก แต่เขาก็หยุดไม่ได้ที่จะเที่ยวผับและซาวน่า เพราะเซ็กเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ละเดือนศักดิ์จะมีคู่ขาหน้าใหม่ๆประมาณ 10 คนต่อเดือน แต่ละครั้งที่มีเซ็ก ศักดิ์จะเป็นฝ่ายรับและชอบที่จะให้คู่ขา “กินงู” (ใช้ปากดูดอมอวัยวะเพศ) ท่าร่วมรักที่ศักดิ์ใช้เป็นประจำคือ นอนยกขาให้อีกฝ่ายหนึ่งเสียบประตูหลัง (ทวารหนัก) และท่าโก่งตูด ก้มหน้ากับที่นอนและให้อีกฝ่ายเสียบประตูหลัง เวลามีเซ็ก ศักดิ์มักจะเป็นฝ่ายเสร็จก่อนคู่ขา อวัยวะเพศของศักดิ์มักจะแข็งเร็วและนาน แม้จะถูกสอดใส่ทางทวารหนักก็ยังแข็งตลอดเวลา ถ้าคู่ขามีอวัยวะเพศขนาดใหญ่ ศักดิ์จะชอบมาก มีอารมณ์มากเมื่อถูกกะแทกทางประตูหลัง
การมีเพศสัมพันธ์ของศักดิ์ส่วนใหญ่จะมีการใช้ถุงยาง ผู้ที่เป็นฝ่ายรุกจะต้องใส่ถุงยาง ส่วนใหญ่คู่ขาของศักดิ์จะพกถุงยางมาด้วย ถ้าอยู่ในซาวน่าก็จะขอกับพนักงาน ถ้าบางคนขอไม่ใส่ถุงยาง หรือ เสียบสด ศักดิ์จะปฏิเสธ เพราะเขาพอมีความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์และพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ความรู้เหล่านี้ได้มาจากห้องเรียน ตำราเรียน ข่าวสารทางสื่อมวลชน และหลังจากมาเป็นอาสาสมัครในองคืกรบางกอกเรนโบว์ ก็ยิ่งมีความรู้มากขึ้น ในกรณีที่ทำออรัลเซ็ก หรือใช้ปากดูดอวัยวะเพศ มักจะไม่มีการใส่ถุงยาง เพราะเชื่อว่าอัตราการเสี่ยงต่อการติดเชื้อมีน้อยกว่าการสอดใส่ เทคนิคที่ศักดิ์ใช้เมื่อต้องใช้ปากให้กับคู่ขาคือ ใช้น้ำลายมากๆครั้งอมและเลียอวัยวะเพศ เพราะเชื่อว่าน้ำลายจะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้
ประสบการณ์เซ็กที่น่าตื่นเต้นของศักดิ์ เกิดขึ้นเมื่อไปเที่ยวซาวน่าในวันที่มีกิจกรรม Orgy หรือ การแสดงเซ็กโชว์ให้คนอื่นดู วันนั้นคู่ขาของศักดิ์หน้าตาดีมากและเขาอยากโชว์เซ็กให้คนอื่นดู จึงเปิดประตูห้องให้คนอื่นๆเข้ามา วันนั้นศักดิ์ดมปอปเปอร์ หรือสารเคมีที่ทำให้รู้สึกมึนชาเมื่อถูกสอดใส่จะไม่รู้สึกเจ็บ แต่อวัยวะเพศของศักดิ์จะไม่แข็ง เมื่อแสดงเซ็กโชว์จบ คนที่มามุ่งดูก็จะให้ดาว ผู้ที่ได้ดาวสามารถกลับมาใช้บริการซาวน่าฟรีครั้งต่อไป ซาวน่าแห่งนี้นิยมจัดกิจกรรมเซ็กโชว์ ซึ่งทุกคนจะต้องเปลือยกาย ชาวเกย์นิยมมาใช้บริการจำนวนมาก ศักดิ์เล่าวว่าตั้งแต่ใช้ชีวิตเป็นเกย์เรื่อยมา เขามีเซ็กกับผู้ชายประมาณ 800 คน เนื่องจากทุกครั้งที่ไปเที่ยวซาวน่า เขาจะต้องได้ผู้ชาย 2-3 คน (2-3 ไม้) นอกจากนั้นการหาคู่ทางอินเตอร์เน็ตก็ทำได้ง่ายๆ ถ้าถูกใจกันก็ชวนมามีเซ็กที่ห้อง แต่ส่วนใหญ่จะไม่คบกันระยะยาว ปัจจุบันศักดิ์เริ่มคิดว่าอยากจะมีคนรักสักคนที่ยั่งยืนและอยู่กันนาน ส่วนความต้องการทางเพศก็เริ่มลดน้อยลงไปมากกว่าอดีต
คนที่สองคือ ยุทธ อายุ 27 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี ทำงานบริษัทเอกชน มีประสบการณ์ทางเพศกับผู้ชายครั้งแรกเมื่อเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ครั้งนั้นยุทธถูกนักกีฬาชายเอาอวัยวะเพศมาถูกไถบริเวณก้น และถูกขอร้องให้ใช้ปากอม แต่ยุทธยังไม่กล้า และเขินอาย ประสบการณ์ครั้งนั้นสอนให้ยุทธรู้ว่าตนเองชอบแบบนี้และปรารถนาที่อยากมีอะไรกับผู้ชายอีก จนกระทั่งยุทธมีโอกาสไปเที่ยวซาวน่า และมีเซ็กกับคนแปลกหน้า ครั้งนั้นยุทธเป็นฝ่ายรับ ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ยุทธรับรู้ถึงความสุขจากการสอดใส่ หลังจากนั้นมาก็เริ่มชอบซาวน่าและกล้าที่จะไปเที่ยวคนเดียว แต่ละครั้งที่เที่ยวซาวน่า ยุทธจะได้ “กิน” ผู้ชายประมาณ 6 คน ยุทธชอบอยู่ในห้องมืดที่มีเกย์เข้าไปมีเซ็กหมู่กัน การมีเซ็กในห้องมืด เกย์แต่ละคนจะมองไม่เห็นหน้ากัน ได้แต่ลูบคล้ำเรือนร่างและอวัยวะเพศ ยุทธเล่าว่าจะเอามือจับอวัยวะเพศของคนอื่นและชักให้คนๆจน “น้ำแตก” ขณะที่ใช้มืออยู่นั้น เกย์คนอื่นๆจะเข้ามาจับอวัยวะเพศของยุทธ แบบล้อมหน้าล้อมหลัง หรือเข้ามา “บ๊วบ” (ใช้ปากอม) ให้ยุทธ ยุทธสามารถใช้มือชักว่าวให้กับคนหลายคนรอบๆตัวเหมือนกำลังเล่น “ฆ้องวง” เมื่อถึงจุดสุดยอด คนที่ถูกชักก็จะหลั่งบนร่างกายของยุทธ ถ้าชักให้หลายคน ยุทธก็จะเปียกไปด้วยน้ำอสุจิ เมื่อเสร็จภาระกิจแล้ว ยุทธจะรีบวิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อล้างตัวให้สะอาด
ยุทธเล่าว่าขณะที่มีเซ็กหมู่ในห้องมืด พยายามตั้งสติตลอดเวลาว่าจะไม่ยอมให้คนอื่นสอดใส่ทางประตูหลังโดยปราศจากถุงยาง ถ้ามีคนพยายามจะสอดใส่ก็จะรีบปัดป้อง ส่วนการใช้ปากก็พยายามตั้งสติตนเองว่ามีพฤติกรรมเสี่ยงหรือไม่ เช่น ถ้ามีแผลในปากก็จะไม่ใช้ปาก ถ้าปากไม่มีแผลก็จะใช้ปากอมให้คนอื่น การไม่มีแผลในปากเป็นการสร้างความมั่นใจให้ตนเองว่าจะลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ยุทธอธิบายว่าเกย์ที่ขอสอดใส่แบบไม่ใช้ถุงมักจะอ้างว่าลืมเอาถุงยางมา หรือแพ้ถุงยาง ถ้าคนนั้นขอสอดใส่ “แบบสด” ยุทธจะต่อรองกับเขาว่าต้องไปเอาถุงยางมา หรือเปลี่ยนเป็นการใช้ปากแทนการสอดใส่
ยุทธยังชอบเที่ยวผับ และบางครั้งก็จะมีคนมาชวนไปมีเซ็กด้วย ผู้ชายที่ยุทธชอบจะต้องสูงล้ำ ครั้งหนึ่งยุทธเคยไปกับผู้ชายฐานะดีและเป็นประสบการณ์ที่ยุทธไม่เคยลืม ผู้ชายคนนี้ขอให้ยุทธใส่กางเกงในแบบจีสติง ซึ่งเขาเก็บสะสมไว้จำนวนมาก จากนั้นเขาก็ชวนยุทธไปที่ดาดฟ้าและนำเบียร์มาราดตัวยุทธ เขาใช้ลิ้นเลียคราบเบียร์บนตัวยุทธทั่วทั้งตัวจนแห้ง แล้วนำคอของขวดเบียร์ไปสอดใส่ทวารของยุทธ การทำเช่นนี้ทำให้เขามีความสุขมาก จากนั้นเขาก็เข้าไปที่ห้องนอน เปิดหนังโป๊ และมีเซ็กกับยุทธ โดยเขามีบทบาทเป็นฝ่ายรุก ยุทธรู้สึกชอบเขาแม้ว่าจะมีพฤติกรรมแปลกๆก่อนที่จะมีเซ็กก็ตาม ยุทธคบกับเขาเป็นเวลาสองอาทิตย์ เหตุการณ์ที่ทำให้ยุทธตัดสินใจเลิกกับเขาก็คือ คืนหนึ่ง เขาพาผู้ชายอีกคนหนึ่งเข้ามาในห้องนอนและมาใช้ปากให้กับยุทธ ขณะที่ยุทธกำลังหลับอยู่ ส่วนเขาก็พยายามให้ยุทธอมของเขา ยุทธสะดุ้งตื่นขึ้นมาและตกใจเมื่อเห็นผู้ชายแปลกหน้ากำลังอมให้เขา ยุทธรู้สึกรับไม่ได้กับเหตุการณ์ครั้งนี้
ยุทธยังเล่าว่าในห้องน้ำของผับมักจะเป็นที่ที่เกย์สามารถมีเซ็กได้ ยุทธเคยเจอผู้ชายกำลังปัสสาวะที่โถและโชว์อวัยวะเพศ พร้อมกับส่งสายตาให้ยุทธ จากนั้นเขาก็เดินเข้าห้องน้ำ ยุทธจึงเดินเข้าไปและใช้ปากอมอวัยวะเพศให้เขาจนสำเร็จความใคร่ ปัจจุบัน ยุทธมีแฟนที่เป็นฝ่ายรับ พบเจอแฟนคนนี้ในดิสโก้เธคแห่งหนึ่ง ยุทธจะไปหาแฟนทุกวันเสาร์อาทิตย์
ไม่มั่วแต่ทั่วถึง ความหมายของเซ็กที่เกย์เป็นผู้ไกล่เกลี่ย
จากเรื่องเล่าประสบการณ์ทางเพศของเกย์ที่กล่าวมานั้นจะพบว่าสถานการณ์เซ็กของเกย์แต่ละคนจะแตกต่างกัน การไกล่เกลี่ยระหว่างเซฟเซ็กและฟรีเซ็กจะเกิดขึ้นตลอดเวลาที่เกย์ปฏิบัติกิจทางเพศ จากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนซึ่งเคยเข้าไปในซาวน่า ดิสโก้เธค ผับ บาร์เกย์ คาราโอเกะ และสวนสาธารณะที่เกย์จะไปหาคู่ จะพบว่าเกย์ที่เข้าไปยังสถานที่เหล่านั้นจะรู้ดีว่าตนเองกำลังเผชิญกับเซ็กแบบไหน เซ็กของเกย์จึงมีความยืดหยุ่น เปลี่ยนแปลงไปตามบทบาทการเป็นฝ่ายรุก ฝ่ายรับ รูปแบบของการมีเซ็ก คู่ขาที่เกย์มีเซ็กด้วย รวมทั้งอารมณ์ความรู้สึก บรรยากาศ สภาพแวดล้อมและสถานที่ จะพบว่าสถานบริการประเภทซาวน่าคือสถานที่ที่เซ็กเกิดขึ้นได้ทุกหนทุกแห่ง ในขณะที่ดิสโก้เธค เซ็กจะเกิดขึ้นในห้องน้ำ ส่วนบาร์อะโก้โก้ เซ็กจะเกิดขึ้นเมื่อมีการ “ออฟเด็ก” ออกไปจากบาร์
สถานบริการที่มีเด็กไว้บริการมักจะมีระบบของการเซฟเซ็ก เช่น บาร์อะโก้โก้ นวด สปา และ ร้านคาราโอเกะ เจ้าของกิจการเหล่านี้จะสอนให้เด็กดูแลสุขภาพของตัวเองและจะให้ถุงยางอนามัยกับเด็กเมื่อต้องออกไปกับแขก ในขณะที่ซาวน่าจะเป็นสถานที่ที่เกย์แต่ละคนมีอิสระที่จะมีเซ็กกับใครก็ได้ที่เข้าไปใช้บริการในนั้น เจ้าของซาวน่าไม่มีสิทธิที่จะบังคับให้ลูกค้าใส่หรือไม่ใส่ถุงยาง ดังนั้น เซ็กในซาวน่าจึงอยู่เหนือการควบคุม เกย์แต่ละคนที่เข้าไปในซาวน่าจะต้องควบคุมตัวเอง ต้องเลือก ไตร่ตรอง ตัดสินใจว่าตนเองจะมีเซ็กแบบไหนกับใคร พฤติกรรมเสี่ยงหรือปลอดภัยจึงขึ้นอยู่กับการเลือกของเกย์คนนั้น ในการเลือกแต่ละครั้ง เกย์จะหาเหตุผลและคำอธิบายมาประกอบว่าเซ็กแบบไหนที่ปลอดภัย หรือมีความเสี่ยง
ตัวอย่างการมีเซ็กในซาวน่า คือตัวอย่างของการมีเซ็กแบบอิสระ เกย์ที่ไปเที่ยวซาวน่ามักจะมีเซ็กกับคนหลายคน หรือมีเซ็กหมู่ โดยเฉพาะในห้องมืดที่มีคนเข้าไปสำเร็จความใคร่ให้กันและกัน พฤติกรรมดังกล่าวนี้สะท้อนว่าฟรีเซ็กเป็นเรื่องปกติ การได้หลายไม้ หรือการมีเซ็กมากกว่าหนึ่งคนเป็นสิ่งที่เกย์มักจะนำมาพูดหยอกล้อกัน เช่น “วันนี้ได้หลายไม้” (หมายถึงหลายคน) “เล่นฆ้องวง” (ใช้มือชักว่าวให้กับคนหลายคนในเวลาเดียวกัน) “โดนรุม” (ถูกคนหลายคนเข้ามาใช้ปากดูดอวัยวะเพศ หรือเข้ามาเล้าโล้ม) สิ่งเหล่านี้สามารถเข้าใจได้จากวลีที่ว่า “ไม่มั่วแต่ถั่วถึง” วลีนี้เกย์ใช้เพื่ออธิบายว่าตนเองสามารถมีเซ็กกับคนหลายคนในเวลาเดียวกัน หรือเปลี่ยนคู่ขาไปเรื่อยๆตามโอกาสและสถานที่ ซึ่งการกระทำนี้ไม่ถือว่า “มั่ว” หรือ “ส่ำส่อน” แต่เป็นการสร้างความสุขทางเพศให้กับคนมากกว่าหนึ่งคน คำอธิบายนี้อาจเป็นการทำลายความเชื่อเดิมๆที่ประณามว่าการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆคือการส่ำส่อนทางเพศ แต่เมื่อใช้วลีนี้แทน การส่ำส่อนก็จะเปลี่ยนเป็นการให้ความสุขกับผู้อื่น
“ไม่มั่วแต่ถั่วถึง” อาจดูเหมือนเป็นการทำให้ฟรีเซ็กเป็นเรื่องที่ชอบธรรม หรือทำให้สิ่งที่ถูกมองว่าสกปรกและเลวร้ายเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ การมีเซ็กหมู่อาจเป็นรสนิยมทางเพศส่วนบุคคล แต่ในซาวน่าสถานการณ์ในห้องมืดอาจทำให้เกย์บางคนจำยอมต้องมีเซ็กหมู่หรือยอมให้คนอื่นสำเร็จความใคร่ โดยเฉพาะผู้ที่มีรูปร่างหน้าตาดีจะถูกรุมได้ง่าย อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ของผู้เขียนพบว่าเกย์ที่ชอบมุมมืดและห้องมืดส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ชอบกิจกรรมเซ็กหมู่ นอกจากนั้นห้องมืดยังเป็นที่ที่เกย์รูปร่างอ้วนหรือมีหน้าตาไม่ดีเข้ามาหาเซ็ก เพราะไม่มีใครมองเห็นหน้า ความมืดทำให้เกย์อ้วนสามารถหาความสุขทางเพศได้ง่ายขึ้น
การทำออรัลเซ็กหรือใช้ปากดูดเลียอวัยวะเพศของกันและกัน (คำแสลงคือบ๊วบ, บัว หรือ กินงู) เป็นการปฏิบัติที่แพร่หลายในซาวน่า ในห้องน้ำของผับหรือดิสโก้เธค เกย์ส่วนใหญ่จะไม่ใส่ถุงยางเมื่อใช้ปาก เพราะถุงยางให้ความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติและมีสารหล่อลื่น เกย์จะอมอวัยวะเพศแบบ “สด” โดยใช้น้ำลายของตัวเองชะโลมเพื่อให้ลื่น ซึ่งเกย์ที่มีความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมเสี่ยงจะเชื่อว่าน้ำตาลอาจช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ระดับหนึ่ง เมื่อทำออรัลเซ็กจึงพยายามใช้น้ำลายมากๆ ความเชื่อดังกล่าวนี้คือการไกล่เกลี่ยเพื่อให้ตนเองสบายใจว่าจะไม่ติดโรค การไกล่เกลี่ยยังเกิดขึ้นเมื่อเกย์ถูกขอร้องให้ “เสียบสด” หรือไม่ใช้ถุงยาง บางคนที่อยากมีเซ็กกับคนนั้นก็อาจต่อรองว่าขอใช้ปากแทนได้ไหม หรือขอให้หลั่งข้างนอกแทน ถ้าการไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จก็อาจปฏิเสธที่จะมีเซ็กกับคนๆนั้น จากประสบการณ์ของผู้เขียนพบว่าวิธีการต่อรองและไกล่เกลี่ยเพื่อที่จะมีเซฟเซ็ก ยังขึ้นอยู่กับบุคคลที่เกย์มีอะไรด้วย เช่น ถ้าคนๆนั้นมีรูปร่างหน้าตาดีเป็นที่ถูกใจ ถูกสเป็ก การไกล่เกลี่ยก็อาจมีไม่มาก เพราะคนหน้าตาดีมักจะเป็นฝ่ายต่อรอง ถ้าเขาอยากมีเซ็กแบบเสียบสด เขาก็อาจได้ตามต้องการ ขณะที่ฝ่ายถูกเสียบอาจยินยอมให้ง่ายๆโดยไม่ขัดขืน เพราะเขาจะได้ “กิน” คนที่หน้าตาดี การไกล่เกลี่ยลักษณะนี้เป็นปฏิบัติการของฟรีเซ็ก ในทางกลับกัน ถ้าคนหน้าตาดีปฏิเสธที่จะมีเซ็กแบบเสียบสด และต้องการใช้ถุงยาง คู่ขาก็ต้องไปหาถุงยางมาให้
อาจกล่าวได้ว่า เกย์ที่หน้าตาและรูปร่างดี เกย์วัยรุ่นและหนุ่มๆ เกย์ที่ของใหญ่ (อวัยวะเพศใหญ่) จะได้เปรียบในการต่อรองและไกล่เกลี่ยเมื่อต้องมีเซ็กกับคนอื่น ในขณะที่เกย์อ้วน หรือผู้ที่มีหน้าตาไม่ดีจะมีสิทธิเลือกน้อยกว่า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ห้องมืด ห้องอบไอน้ำของซาวน่ากลายเป็นที่รวมตัวของเกย์อ้วน เกย์ที่มีอายุและหน้าตาไม่ดี รวมทั้งประเภท “หน้าเน่าเป้าเลิศ” หรือผู้ที่หน้าตาไม่ดีแต่มีอวัยวะเพศใหญ่ ซึ่งเป็นที่ต้องการของเกย์ มหกรรมรุมกันในห้องมืดจึงเป็นเรื่องธรรมดา จะไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นใคร คนที่ชอบเซ็กหมู่ หรือชอบให้คนอื่นหลั่งน้ำอสุจิลงบนตัวก็จะเข้าไปอยู่ในห้องมืด ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่าการไกล่เกี่ยต่อรองในกลุ่มเกย์อ้วนหรือเกย์หน้าตาไม่ดีจะมีน้อยมากหรือแทบไม่มีเลย เพราะคนกลุ่มนี้เลือกไม่ได้ เมื่อมีโอกาสที่จะมีเซ็ก พวกเขาจึงต้องตามใจหรือทำอะไรก็ได้เพื่อมิให้โอกาสที่จะมีเซ็กหลุดลอยไป
ซาวน่าเกย์ เป็นสภาพสะท้อนของการไกล่เกลี่ยเรื่องเซ็กที่สลับซับซ้อน ซึ่งผู้เขียนไม่ต้องการที่จะตัดสินว่าซาวน่าเกย์ หรือสถานที่ที่เกย์ไปหาเซ็กจะเป็นแหล่งมั่วสุมทางเพศ หรือเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรค หากแต่ต้องการทำความเข้าใจว่าสถานที่เหล่านี้เป็นพรมแดนของจินตนาการทางเพศ หรือเซ็กแฟนตาซี เป็นพื้นที่ที่เซฟเซ็กและฟรีเซ็กมาบรรจบกัน จะเห็นได้ว่าปฏิบัติการทางเพศของเกย์มีสองสิ่งนี้เกิดขึ้น เพียงแต่ว่าใครจะไกล่เกลี่ยไปในทางไหน บทความนี้ต้องการชี้ว่าการไกล่เกลี่ยและการต่อรองเพื่อที่จะมีเซฟเซ็กวางอยู่บนทัศนคติและความเชื่อเรื่อง “ความเสี่ยง” และวาทกรรมเกี่ยวกับสุขภาวะทางเพศ สำหรับผู้ที่มีความรู้เรื่องโรคเอดส์ อาจต้องการการไกล่เกลี่ยมาก ขณะที่ผู้ที่มีความรู้น้อยอาจไม่ต้องไกล่เกลี่ยและใช้อารมณ์เซ็กอย่างเต็มที่ การไกล่เกลี่ยในเรื่องเซ็กนี้ล้วนอาศัยสภาพแวดล้อม โอกาส และบุคคล และในสถานการณ์ที่ต้องเลือกที่จะฟรีเซ็ก เกย์คนนั้นก็จะมีวิธีของตัวเอง การศึกษาของไมเคิล เชอร์นอฟฟ์ชี้ว่าเกย์ส่วนใหญ่จะใช้ถุงยางในบางโอกาส และไม่ใช้ในบางโอกาส เพราะเซ็กเป็นเรื่องของอารมณ์ ความปรารถนา คนแต่ละคนใช้มีเซ็กด้วยเหตุผลที่ต่างกัน เช่นเพื่อความรัก เพื่อระบายอารมณ์ เพื่อความสนุกสนาน เพื่อมิตรภาพ เพื่อเติมเต็มชีวิต เพื่อเงินทอง และเพื่อการแลกเปลี่ยน (Michael Shernoff: 2006, 75)
สำหรับบางคนการใช้ถุงยางอนามัยเป็นการลดหรือทำลายความรู้สึกทางเพศ พวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ใส่ถุงยาง และหันมา “เสียบสด” (Barebacking) เพราะได้ความรู้สึกมากกว่าเมื่อเนื้อได้สัมผัสกับเนื้อ เป็นการปลุกเร้าอารมณ์ความใคร่และความสุขทางเพศ เป็นการสร้างความใกล้ชิดสนิทสนม (Michael Shernoff: 2006,80) และการไกล่เกลี่ยเพื่อเซฟเซ็กในการเสียบสดก็อาจเกิดขึ้นได้โดยตกลงว่าจะมีการหลั่งภายนอก สิ่งนี้จะทำให้ฝ่ายรุกและฝ่ายรับรู้สึกสบายใจ นักวิชาการชี้ว่าพฤติกรรมนี้แสดงว่าบุคคลเลือกที่จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ แต่เขาจะให้คุณค่าของความเสี่ยงนี้พอๆกับการได้ปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศจากการเสียบสด (Michael Shernoff: 2006, 77) ลักษณะนี้ถือเป็นการต่อรองและไกล่เกลี่ยชนิดหนึ่งที่พบได้บ่อย ซึ่งทำให้เกิดพฤติกรรมเสี่ยงอย่างมีเหตุผล กล่าวคือผู้ที่ปฏิบัติกิจทางเพศรู้ว่าตนเองกำลังเสี่ยงแต่จะเลือกทำแบบนี้เพราะเขาสามารถควบคุมและจัดการได้ การศึกษาส่วนใหญ่มักจะมองข้ามประเด็นนี้ไปโดยมักจะตีตราว่าเกย์ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงคือผู้ที่แพร่เชื้อ ในทางตรงกันข้ามหากทำความเข้าใจวิธีการควบคุมและจัดการเรื่องเซ็กของเกย์ ก็จะพบว่าพวกเขาเข้าใจดีว่าความสุขทางเพศจากความเสี่ยงนั้นสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องละทิ้งความสุขนั้นไป
ปัจจุบันนี้ เรามักจะติดสินว่าเซ็กของใครปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัยจากการป้องกันตัวด้วยการใส่ถุงยางอนามัย ถ้าเกย์คนนั้นมีเซ็กแบบ “เสียบสด” หรือใช้ปากดูดอมแบบไม่ใส่ถุง จะถูกตีตราว่าเป็นผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยง เนื่องจากความรู้ทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ทำให้เอดส์กลายเป็นโรคร้าย ความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีกับเอดส์จึงเป็นมิติทางวัตถุ แต่มนุษย์ยังสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆด้วยมิติของอารมณ์และความรู้สึก เช่น ความใคร่และเซ็กที่เกย์แสดงออกอาจไม่มีการใช้ถุงยางอนามัย แต่แฝงด้วยการไกล่เกี่ยเรื่องสุขภาวะทางเพศ บางครั้งการตระหนักถึงโรคร้ายอาจทำให้การมีเซ็กลดพลังลงไป บางครั้งอาจทำให้หมดอารมณ์ เมื่อเซฟเซ็กถูกยกให้สูงกว่าฟรีเซ็ก เซ็กและความใคร่ก็จะกลายเป็นเรื่องเหตุผลมาก เมื่อฟรีเซ็กถูกยกให้สูงกว่าเซฟเซ็ก เซ็กก็จะกลายเป็นเรื่องอารมณ์มาก การแบ่งแยกดังกล่าวนี้มีนัยยะของการให้คุณค่าว่าเซฟเซ็กดีกว่า ใครที่มีพฤติกรรมเซฟเซ็กก็จะถูกมองว่าเป็นคนดี “ไม่มั่ว” ขณะที่คนที่ชอบฟรีเซ็กจะถูกมองว่ามั่วและส่ำส่อน
ผู้เขียนพบว่าความหมายของคำว่ามั่วและส่ำส่อนในสังคมเกย์ มิใช่สิ่งที่เลวร้าย แม้ว่าสังคมภายนอกจะมองว่าเป็นเรื่องผิดศีลธรรมและบ่อนทำลายสังคมก็ตาม เกย์แต่ละคนจะให้ความหมายและคุณค่าต่อคำว่า “มั่ว” จากประสบการณ์ทางเพศที่ต่างกัน เช่น บางคนที่ไปหาคู่ในห้องน้ำและใช้ปากดูดอมอวัยวะเพศให้ผู้อื่นอาจคิดว่าตนเองกำลังได้รับของขวัญที่ถูกใจ ส่วนเกย์ที่ชอบเซ็กหมู่ในห้องมืดของซาวน่าอาจบอกว่าเป็นความสนุกตื่นเต้นเร้าใจ ดังนั้น การเปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆและการมีเซ็กกับคนจำนวนมากจะเกิดขึ้นได้ในช่วงชีวิตหนึ่งของเกย์ ช่วงเวลานั้นก็เป็นช่วงของการ “ไกล่เกี่ยต่อรอง” ทั้งเรื่องความรัก และความใคร่ อารมณ์และเหตุผลที่เจือปนอยู่กับฟรีเซ็กและเซฟเซ็ก เกย์ที่เปลี่ยนคนรักบ่อยๆ โดยที่ขณะคบกับคนรัก เขาอาจจะหยุดเที่ยวและไม่มีเซ็กกับคนอื่น เซ็กที่เขามีกับคนรักหรือคนที่กำลังคบอยู่อาจเป็นเซ็กแบบไม่ใช้ถุงยางอนามัย เขาอาจให้คนรัก “เสียบสด” หรือสอดใส่โดยปราศจากถุงยางเพราะความรู้สึกรักใคร่ แต่เมื่อเขาเลิกกับคนรักและหันกลับไปเที่ยวซาวน่าอีก เขาอาจมีเซ็กแบบใช้ถุงยางกับคนแปลกหน้า สถานการณ์ดังกล่าวนี้ทำให้เกย์คนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ทั้งการเซฟเซ็กและฟรีเซ็ก
การไกล่เกลี่ยที่กล่าวมาวางอยู่บนความรู้เรื่องสุขภาวะทางเพศ ซึ่งมีการแบ่งแยกว่าอะไรคืออันตราย อะไรคือความปลอดภัย สิ่งเหล่านี้ถูกเกย์อธิบายใหม่ว่า “ความเสี่ยง” ต่อการติดเชื้ออยู่ที่การไกล่เกลี่ยระหว่างอารมณ์และเหตุผล ชีวิตเซ็กของเกย์มิได้แยกอันตรายออกจากความปลอดภัยอย่างสิ้นเชิง แต่เกย์พยายามทำให้สองสิ่งที่ต่างกันนี้ดำเนินไปพร้อมกัน มาร์ค บลีชเนอร์ (2000) กล่าวว่าการแยกขั้วแบบสุดโต่งคือปัญหา เพราะไม่ได้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้นกับชีวิตทางเพศ หากแต่ยังมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียอารมณ์ความรู้สึกทางเพศด้วยถ้าเซฟเซ็กเข้ามาบ่งการชีวิต (Michael Shernoff: 2006,27)
การค้นหาความจริงจากเรื่องเซ็ก
บทความนี้พยายามที่จะก้าวข้ามพ้นไปจากมองปรากฎการณ์เซ็กของเกย์ไทยในทศวรรษ 2000 ซึ่งมิใช่เพียงแบบแผนทางวัฒนธรรมเท่านั้น ผู้เขียนจะหันกลับมาวิพาก์วิจารณ์แนวทางการแสวงหาความรู้และความจริงในทางสังคมศาสตร์ด้วย สิ่งที่ผู้เขียนค้นพบจากการศึกษาประเด็นเซ็กและชีวิตทางเพศของเกย์สะท้อนให้เห็นวิธีการทำความเข้าใจสิ่งเรียกว่า “เพศวิถี” (Sexuality) ที่นักวิชาการพยายามให้คำนิยามและอธิบายด้วยกรอบคิดทฤษฎีต่างๆ แต่ยิ่งเราอธิบายในเชิงวิชาการมากเท่าใดเราก็ยิ่งเข้าใจสิ่งนี้น้อยลงไปเรื่อยๆ (Jeffrey Weeks: 2003) ข้อค้นพบที่ได้จากบทความเรื่องนี้ ประกอบด้วย
ประการแรก ผู้เขียนตระหนักว่าเรื่องเล่าประสบการณ์เซ็กของเกย์แต่ละคนถูกจัดการมาในระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าผู้เขียนจะเลือกคุยกับเกย์ที่สนิทสนมและคุ้นเคย แต่พวกเขาก็ยังคงเลือกเล่าบางเรื่องและไม่เล่าบางเรื่อง ดังนั้นการตีความเรื่องเล่าทางเพศจึงต้องระมัดระวัง เนื่องจากเรื่องเซ็กเป็นเรื่องละเอียดอ่อน บางอย่างถือว่าเป็นความลับเฉพาะบุคคล บางอย่างเล่าได้อย่างสนุกสนาน แต่บางอย่างก็เล่าไม่ได้ ผู้เขียนเชื่อว่าในช่วงเวลาที่สังคมยังคิดว่าเอดส์เป็นเรื่องอันตราย การเล่าเรื่องเซ็กจำเป็นต้องไกล่เกลี่ยกับสถานการณ์เหล่านี้เช่นเดียวกัน เพราะการเล่าถึงพฤติกรรมเสี่ยงอาจทำให้เขาถูกมองในแง่ลบ ผู้เขียนจึงจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์จริงที่พบเห็นพฤติกรรมเซ็กของเกย์ในซาวน่า ในห้องน้ำ หรือในสถานที่ที่เกย์ไปหาคู่ และนำมาเปรียบเทียบกับเรื่องเล่า
ประการที่สอง เซฟเซ็กและฟรีเซ็กไม่ได้แยกกันอยู่คนละด้าน หากถามว่าเซ็กของเกย์ปัจจุบันมีความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมบริโภคและกระบวนการทำให้เซ็กกลายเป็นสินค้าหรือไม่ อย่างไร คำถามนี้อาจจะตอบได้จากหลายทัศนะ แต่ผู้เขียนจะไม่ตอบจากทัศนะแบบอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง หรือกบฎนิยมสุดขั้ว ถ้าเซ็กของเกย์เป็นปรากฎการณ์ของสังคมบริโภคที่เน้นการแลกเปลี่ยนเชิงวัตถุมากกว่าจิตใจ เซ็กของเกย์ก็คงเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดี เอารัดเอาเปรียบ และเห็นแก่ตัว แต่ผู้เขียนพบว่าสังคมเกย์ไทยที่ก่อรูปร่างบนสถานบริการและสถานเริงรมย์ต่างๆ ยังมีมิติทางจิตใจปรากฎอยู่ สถานการณ์ของความรัก มิตรภาพ การช่วยเหลือ และการแบ่งปันจะพบเห็นในหมู่เกย์ สถานเริงรมย์ไม่ได้ทำให้เกย์กลายเป็นคนส่ำส่อนทางเพศหรือเห็นเซ็กสำคัญกว่าจิตใจ หากแต่หล่อหลอมให้เกย์แสดงตัวตนและอารมณ์ของตนเองออกมาโดยอาศัยเรื่องเซ็กเป็นเครื่องมือในการจะบอกว่าเขามีความรู้สึกเช่นไร
สังคมอาจตัดสินว่าชีวิตเกย์ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเซ็กมากเกินไป และประณามผู้ประกอบการและธุรกิจของเกย์ว่าเป็นตัวการที่ทำให้เกย์มัวเมาอยู่กับเซ็กและกามารมณ์ หรือทำให้ฟรีเซ็กเป็นเรื่องแพร่หลาย สื่อทั้งหลายต่างมองเกย์เสมือนผู้ที่กระหายเซ็ก หรือมักมากในกาม ภาพตัวแทนนี้บดบังมิติทางจิตใจที่เกย์แต่ละคนล้วนแสดงออกโดยมีเซ็กเป็นตัวขับเคลื่อน เซ็กทำให้เกย์ได้เรียนรู้ที่จะสร้างสัมพันธ์กับคนอื่นๆและตอกย้ำตัวตนทางเพศ ถึงแม้จะไม่มีสถานเริงรมย์ ชาวเกย์ก็แสวงหาเซ็กได้และสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นมาช้านานก่อนที่สังคมบริโภคจะเติบโตในคริสต์ศตวรรษที่ 20 แต่วัฒนธรรมบริโภคทำให้เซ็กของเกย์เปลี่ยนรูปแบบไป คือ ทำให้กลายเป็นเรื่องง่าย จับต้องได้เร็ว และอาศัยเงินเป็นสื่อกลาง คำถามที่สำคัญก็คือ วัฒนธรรมบริโภคจะทำให้เซ็กเป็นเรื่องของความรับผิดชอบและจริยธรรมได้มากน้อยแค่ไหน และธุรกิจเกย์จะช่วยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร
ผู้เขียนไม่ต้องการเป็นปฏิปักษ์ต่อทั้งธุรกิจเกย์หรือองค์กรเกย์ เพราะเชื่อว่าทั้งสองส่วนนี้ต่างหล่อหลอมให้เกิดวัฒนธรรมเกย์ในสังคมไทย ซึ่งอาจทำให้เกิดเฉดสีที่แตกต่างกันหรือมีอุดมการณ์ที่ต่างกัน แต่เกย์ในฐานะปัจเจกบุคคลจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวและให้คุณค่าต่อสองสิ่งนี้ด้วยประสบการณ์และความคิดที่หลากหลาย เท่าที่ผ่านมาเราอาจเห็นความพยายามที่ธุรกิจเกย์จะมีส่วนช่วยส่งเสริมการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ผู้ประกอบการหลายรายก็ตระหนักถึงปัญหาการแพร่เชื้อ ขณะเดียวกันคนทำงานในองค์กรเกย์ก็เข้าไปใช้ชีวิตที่สนุกสนานในสถานเริงรมย์และธุรกิจเกย์ สิ่งนี้ย่อมสะท้อนว่าวัฒนธรรมเกย์มีหลายแง่มุม เช่นเดียวกับชีวิตทางเพศของเกย์ที่มีหลายด้าน
ประการที่สาม การรณรงค์เรื่องเซฟเซ็กเท่าที่ผ่านมา ตกอยู่ใต้กระบวนทัศน์แบบปฏิฐานนิยม (Positivism) ซึ่งอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาบ่งชี้ตัดสินว่าอะไรคือเซ็กที่สะอาดหรือสกปรก และพยายามแยกสองสิ่งนี้ออกจากกันอย่างสิ้นเชิง โครงการเกี่ยวกับสุขภาวะทางเพศที่องค์กรเกย์นำไปปฏิบัตินั้นจึงตอกย้ำความคิดการแบ่งแยกขั้ว ขณะเดียวกันก็ทำให้ความคิดเรื่องเพศวิถีที่เป็นธรรมชาติและไม่เป็นธรรมชาติดำเนินต่อไป กล่าวคือ การส่งเสริมให้เกย์ตระหนักว่าการส่ำส่อนทางเพศเป็นเรื่องเสี่ยงและอันตราย คือการทำให้ความหมายของการเป็นเพศผิดปกติ ผิดธรรมชาติ และผิดศีลธรรม หยั่งรากลึกลงไปเรื่อยๆ ไม่น่าแปลกถ้าการรณรงค์ต่อต้านโรคเอดส์ จะเป็นการยับยั้งแฟนตาซีทางเพศของเกย์ไปพร้อมๆกัน สิ่งนี้เป็นปัญหาที่มองไม่เห็นเนื่องจากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ทำให้เกิดลักษณะที่ “ชี้วัดตัดสิน” (Deterministic) และทำให้เชื่อว่าเซ็กที่ปลอดภัยดีกว่าเซ็กแบบอื่นๆ
นอกจากนั้น ปฏิบัติการฟรีเซ็กจากสถานเริงรมย์ ก็มีฐานคิดแบบปฏิฐานนิยมเช่นเดียวกัน เนื่องจากการนำเซ็กมาเป็นสินค้าคือการตอกย้ำเพศวิถีของเกย์ที่ต้องแสดงตัวหรือให้คุณค่าต่อการมีเซ็กกับคนเพศเดียวกัน ในที่นี้ เรือนร่างบุรุษเพศและความเป็นชายจะกลายเป็นสินค้าที่มีอำนาจ จะพบเห็นการโชว์เรือนร่างเพศชายในซาวน่า บาร์อะโก้โก้ นวด สปา หนังโป๊ และนิตยสารอัลบั้มนายแบบทั้งหลาย ปฏิบัติการฟรีเซ็กในระบบทุนนิยมและบริโภคนิยมจึงทำให้ตัวตนของเกย์ผูกติดกับเรื่องเซ็กมากขึ้นเรื่อยๆ ปฏิบัติการฟรีเซ็กของเกย์จึงเป็นความพยายามที่จะบอกว่าอัตลักษณ์เกย์เป็นสิ่งที่จับต้องได้หรือมีแก้แท้มาจากจิตใจ และเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมา การเน้นย้ำอัตลักษณ์แบบตายตัวนี้คือการทำให้เกย์ถูกแบ่งแยกจากผู้ชายผู้หญิงบนฐานคิดเรื่องการจัดประเภทและจัดหมวดหมู่ให้กับเพศของมนุษย์
บรรณานุกรม
เทอดศักดิ์ ร่มจำปา. วาทกรรมเกี่ยวกับเกย์ในสังคมไทย พ.ศ.2508-25042. วิทยานิพนธ์อักษรศาสตร์
มหาบัณฑิต,สาขาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.2545.
ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ และคณะ. ผลการเฝ้าระวังความชุกของการติดเชื้อเอชไอวี กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายใน
กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ และภูเก็ต. ใน ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ และกีรติกานต์ กลัดสวัสดิ์ (บก.) การ
ป้องกันและแก้ไขปัญหาการติดเชื้อเอชไอวีในกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย. สำนักระบาดวิทยา กรม
ควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, นนทบุรี. 2551.
Jeffrey Weeks. Sexuality. London, Routledge. 2003.
Ken Plummer. Modern Homosexualities. Routledge, London. 1992.
Michael Shernoff. Without Condoms: Unprotected Sex, Gay Men & Bareback. New York,
Routledge. 2006.
Peter A. Jackson. Dear Uncle Go.: Male Homosexuality in Thailand. Bangkok,
Bua Luang Books. 1995.
Roger Streitmatter. Roger Streitmatter. Unspeakable The Rise of the Gay and
Lesbian Press in America. Faber and Faber, Boston.1995.
Tim Edwards. Erotics & Politics. New York, Routledge. 1994.
Add comment