
ซาวน่าเกย์ กับการเผยร่าง
บทความเรื่องนี้เป็นการสำรวจและวิเคราะห์เรือนร่างของเกย์ไทยที่ปรากฎอยู่ในสถานบริการเพื่อสุขภาพ หรือรู้จักในนาม “ซาวน่าเกย์” (Gay Sauna) พื้นที่ของซาวน่าเป็นพื้นที่ที่สะท้อนความเป็นส่วนตัวของชาวเกย์ซึ่งเข้าไปใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็น การออกกำลังกาย ร้องเพลงคาราโอเกะ อบไอน้ำ อบซาวน่า ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ชมภาพยนตร์ และนั่งพักผ่อน นอกจากนั้นอาจมีบริการนวดเพื่อสุขภาพ ซึ่งสถานบริการเหล่านี้จะมีพนักงานชายรูปร่างหน้าตาดีไว้บริการแขก อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญและเป็นหัวใจของซาวน่าเกย์ก็คือ การเปิดเผยร่างกายของผู้ที่เข้าไปใช้บริการ เกย์แต่ละคนจะนุ่งผ้าขนหนูโดยเปลือยร่างกายท่อนบน ถ้าเข้าไปในห้องอบไอน้ำ เกย์บางคนก็อาจเปลือยร่างกายทั้งหมด การเปิดเผยร่างกายเช่นนี้มีความหมายอย่างไร ผู้เขียนจะลองสำรวจว่าเกย์ไทยให้ความหมายและให้คุณค่าต่อร่างกายของตัวเองและผู้อื่นอย่างไรบ้าง
การศึกษาและเก็บข้อมูลเรื่องนี้ ผู้เขียนมีโอกาสเข้าไปใช้บริการซาวน่าเกย์หลายครั้ง และพบเห็นความแตกต่างกันของซาวน่าแต่ละแห่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราคา การตกแต่งสถานที่ การบริการของพนักงาน รูปแบบและชนิดกิจกรรมที่ให้บริการ ตลอดจนความสะอาดและสวยงามของสถานที่เหล่านั้น ผู้เขียนได้พบความคล้ายคลึงกันของซาวน่า และเห็นรสนิยมของเกย์หลากหลายลักษณะ เกย์ที่เข้าไปใช้บริการล้วนแสดงออกถึงความคิดและความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งประเด็นนี้คือสิ่งที่ผู้เขียนจะนำมาวิเคราะห์ นอกจากนั้น พฤติกรรมทางร่างกายของเกย์ที่ปรากฎอยู่ในซาวน่าจะเป็นเครื่องแสดงถึงทัศนคติและความคิดของเกย์แต่ละคนว่ามองดูร่างกายของตัวเองอย่างไร เกย์ชอบร่างกายแบบไหน รูปร่างหน้าตาแบบไหนที่เกย์ปรารถนา
ทั้งนี้ ผู้เขียนต้องการทำความเข้าใจความหมายของ “ร่างกาย” ของเกย์ในบริบททางวัฒนธรรม และซาวน่าก็เป็นสถานที่ลับเฉพาะของชาวเกย์ที่ไม่เปิดเผยแก่สังคม ชาวเกย์เท่านั้นจะรู้ว่าสถานที่แห่งนี้คืออะไร มีวัตถุประสงค์อะไร และมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง ซาวน่าเป็นพื้นที่ของการปะทะกันระหว่างเรือนร่างหลายๆแบบ ซึ่งเกิดขึ้นบนจินตนาการ ร่างกายของเกย์ในพื้นที่ซาวน่าจึงเป็น “ร่าง” ที่ถูกหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรม เงื่อนไขและการใช้ชีวิตในซาวน่าของเกย์อาจเป็นรูปแบบของการใช้ชีวิตแบบหนึ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับเกย์ไทย
เนื่องจากในปัจจุบันมีซาวน่าเกย์เกิดขึ้นมากมายในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ซาวน่าอาจเป็นแหล่งที่เกย์มาพักผ่อน มาหาคู่ หาเพื่อนใหม่ หาคนรัก มาออกกำลังกาย หรือเหตุผลอื่นๆ ซาวน่าอาจเป็นหลักฐานที่บ่งบอกให้รู้ว่าชีวิตเกย์ไทยในเขตเมืองกำลังพัฒนาตัวเองอย่างเป็นรูปธรรม ซาวน่าจึงเป็นทั้งสถานที่อ้างอิงตัวตนของเกย์ (gay identity) และเป็นพื้นที่ที่ทำให้เกย์กลายเป็น “วัตถุ” ภายใต้โลกทัศน์ของทุนนิยม นายทุนหลายคนคิดว่าธุรกิจแบบนี้ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า และลูกค้าเกย์ก็พร้อมที่จะเข้าไปใช้บริการได้ตลอดเวลา ซาวน่าหลายแห่งจึงมีการลดแลกแจกแถม มีโปรโมชั่นให้เลือกเพื่อจูงใจลูกค้า ภาพทางวัฒนธรรมของธุรกิจนี้เข้ามาควบคุมและจัดระเบียบชีวิตของเกย์อย่างไม่รู้ตัว เกย์ที่ใช้ชีวิตในซาวน่าจึงมิใช่เป็นเพียง “ลูกค้า” เท่านั้น หากแต่ยังเป็น “ผลผลิต” ของการสร้างภาพ “ความเป็นเกย์” ( gay image )ให้กับวัฒนธรรมเกย์ในสังคมไทยด้วย
การศึกษาเรื่องนี้ไม่ต้องการให้สังคมไทยกล่าวตำหนิระบบทุนนิยมและธุรกิจซาวน่าว่าเป็นธุรกิจสกปรก หรือเป็นการค้าทางเพศ หากแต่ผู้เขียนต้องการให้ชี้ให้เห็นว่าชีวิตของเกย์ไทยปัจจุบันถูกควบคุมด้วยสิ่งใดบ้าง เกย์ไทยมีชีวิตที่เป็นอิสระตามที่เกย์ปรารถนาหรือไม่ มีพื้นที่ทางสังคมใดบ้างที่เกย์สามารถเปิดเผยตัวตนของตนเองได้อย่างอิสระเท่ากับซาวน่าหรือไม่ ระหว่างพื้นที่ซาวน่ากับพื้นที่สาธารณะ พื้นที่แบบไหนที่เข้าไปจัดระเบียบร่างกายของเกย์ ถ้าซาวน่าเป็นดินแดนแห่งความฝันซึ่งเกย์เลือกที่จะเข้าไปสัมผัสแล้ว เกย์จะได้พบกับความฝันจริงหรือ คำถามเหล่านี้ต้องการคำอธิบาย ผู้เขียนหวังว่าบทความเรื่องนี้จะสะท้อนภาพบางประการที่ทำให้เข้าใจตัวตนของเกย์ในอีกแง่มุมหนึ่ง และในเวลาเดียวกันก็ไม่ลืมว่า “ซาวน่า” เป็นประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรมที่ถูกควบคุมและวางกฎเกณฑ์จากทุนนิยม ซึ่งสร้างวาทกรรมกระแสหลักให้สังคมไทยปัจจุบัน
เมื่อแรกเริ่มมีซาวน่าเกย์
ในสังคมตะวันตก สถานที่ที่เกย์มาพบกันเพื่อที่จะมีเพสสัมพันธ์กันเกิดขึ้นที่ “ห้องอาบน้ำ” หรือ Bathhouses ห้องอาบน้ำนี้เปิดบริการแก่สาธารณชนแต่เกย์ได้ใช้สถานที่นี้เพื่อหาคู่ซึ่งเกิดขึ้นมานานแล้ว ในสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 สำหรับคำว่า ซาวน่า หรือ Sauna เป็นคำเรียกในภาษาฟินแลนด์ซึ่งมีความหมายว่าการอาบน้ำ ซึ่งตรงกับคำว่า Bathhouse ในภาษาอังกฤษ ในวัฒนธรรมของชาวฟินแลนด์ ซาวน่าเป็นกิจกรรมที่อยู่ในชีวิตประจำวัน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกเกี่ยวกับซาวน่ามีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1112 ซาวน่าระยะแรกๆจะมีลักษณะเป็นโพรงขุดลงไปในดิน ภายในหลุมจะมีการจุดไฟเพื่อให้ความร้อน เมื่อไฟดับแล้วผู้ที่จะอาบน้ำก็ลงไปในหลุม ต่อมาสร้างเป็นห้องไม้เล็กๆบนพื้นดิน ภายในห้องซาวน่าจะมีเตาถ่านที่วางหินร้อนไว้ด้านบน ห้องจะปิดสนิทเพื่อมิให้ความร้อนออกไป ชาวฟินแลนด์จะใช้เวลาอบตัวในซาวน่าเป็นเวลานานครึ่งวันหลังจากนั้นจึงออกมาอาบน้ำ ชาวฟินแลนด์ถือว่าการอบตัวในซาวน่าเป็นกิจกรรมทางสังคม สมาชิกในครอบครัวจะมารวมตัวกันในซาวน่าและทำกิจกรรม
ชนพื้นเมืองอเมริกันก็มีวิธีการอบตัวคล้ายๆกับชาวฟินน์ ห้องอบตัวของชนพื้นเมืองอเมริกันเรียกว่า Sweat Lodge ในบันทึกของโรเจอร์ วิลเลียมส์ ในปี ค.ศ.1643 อธิบายว่าชนพื้นเมืองเข้าไปอบตัวในกระโจมเพื่อทำความสะอาดร่างกายและผิวหนัง ชนเผ่า Sioux เชื่อว่ากระโจมที่ใช้อบตัวเปรียบเสมือนครรภ์ของมารดา และหินที่ถูกเผาไฟจนร้อนคือจุดกำเนิดของชีวิต ส่วนไอน้ำที่พวยพุ่งออกมาหมายถึงพลังของจักรวาล ชนพื้นเมืองในอเมริกาเชื่อว่ากระโจมที่ใช้อบตัวเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าและการกำเนิดของมนุษย์ ชนเผ่า Utes จะมีพิธีกรรมประกอบขณะมีการอบตัว ซึ่งเมื่อมีเหงื่อออกมาแล้ว ชาวUtes เชื่อว่าเป็นการขับไล่ปีศาจออกไปจากร่างกายและจิตวิญญาณ
อย่างไรก็ตามการอบตัวในห้องซาวน่ามิใช่สิ่งที่เกย์ต้องการเป็นอันดับแรก แต่ “ห้องอาบน้ำ” สาธารณะเปิดโอกาสให้เกย์เข้าไปหาคู่ เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวเอื้อให้เกย์มีเพศสัมพันธ์กันได้ง่ายโดยเฉพาะเมื่อมีการเปลือยร่างกายขณะอาบน้ำ วัฒนธรรมการอาบน้ำอาจย้อนไปถึงวัฒนธรรมของชาวตุรกีซึ่งหล่อหลอมมาจากศาสนาอิสลาม ศาสนาอิสลามให้คุณค่ากับความสะอาดและการใช้น้ำสำหรับชำระร่างกาย ห้องอาบน้ำของชาวตุรกี หรือ Turkish Bath (hamam)จึงเป็นธรรมเนียมการอาบน้ำต้นแบบให้กับ “ห้องอาบน้ำ” ในยุคหลัง ห้องอาบน้ำแบบตุรกีเป็นสถานที่โอ่โถง สร้างด้วยหินอ่อน วัฒนธรรมการอาบน้ำแบบตุรกียังเกี่ยวข้องกับพิธีกรรม เช่น เมื่อเด็กเกิดใหม่ได้ 40 วัน พ่อแม่จะนำมาอาบน้ำ เจ้าสาวที่แต่งงานจะเข้ามาอาบน้ำพร้อมๆกับกินอาหาร โดยจะมีดนตรีเล่นประกอบ ในห้องอาบน้ำแบบตุรกีจะมีทั้งท่อน้ำร้อนและน้ำเย็น ภายในห้องอาบน้ำจะมีการแยกพื้นที่ระหว่างผู้หญิงและผู้ชายออกจากกัน ผู้ที่เข้าไปอาบน้ำจะนุ่งผ้าเช็ดตัวหรือกางเกงขาสั้น จากบันทึกของนักเดินทางในศตวรรษที่ 14 อธิบายว่าผู้ชายที่เข้าไปอาบน้ำจะไม่สวมอะไรเลยซึ่งผิดกฎและจะถูกลงโทษ การอาบน้ำแบบตุรกีจะต่างจากการอาบน้ำของชาวฟินแลนด์ กล่าวคือชาวตุรกีจะไม่มีการจุดไฟด้วยถ่านและก้อนหินเพื่ออบตัว ชาวตุรกีจะเน้นการอาบน้ำชำระล้างกายเพียงอย่างเดียวซึ่งอาจจะมีการขัดผิวเพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกบนเรือนร่าง หรือนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
การแยกส่วนพื้นที่อาบน้ำนี้ทำให้ผู้ชายมีโลกส่วนตัวของตัวเอง และอาจเป็นช่องทางให้เกย์พบกับคนที่มีรสนิยมทางเพศเหมือนกัน ในยุควิคตอเรียซึ่งให้คุณค่ากับระเบียบวินัยและการรักษาความสะอาดของร่างกาย ทำให้เกิด “ห้องอาบน้ำ” มากมายในเมืองต่างๆทั้งในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ ตัวอย่างในนิวยอร์ค ในปี ค.ศ.1852 รัฐบาลมีนโยบายขจัดสิ่งสกปรกออกไปจากเมือง ทำให้มีการควบคุมพลเมืองให้รักษาความสะอาด โดยเฉพาะคนยากจนและผู้อพยพจะถูกบังคับให้อาบน้ำ ห้องอาบน้ำสาธารณะจึงเกิดขึ้นหลายแห่งตามนโยบายนี้ ในช่วงทศวรรษที่ 1890 ชาวเกย์นิยมไปห้องอาบน้ำสาธารณะเพื่อหาคู่และมีเพศสัมพันธ์ จอร์จ ชอนซีย์ อธิบายว่าห้องอาบน้ำคือสถานที่ที่เกย์สามารถสร้างกลุ่มทางวัฒนธรรมของตัวเองได้ชัดเจน แต่เกย์หลายคนก็ต้องเสี่ยงกับการถูกตำรวจจับเพราะในช่วงเวลานั้น การมีเพศสัมพันธ์กับคนเพศเดียวกันถือเป็นความผิดร้ายแรง เช่น กรณีในปี ค.ศ.1910 เมื่อเกย์คู่หนึ่งถูกจับในข้อหาเป็นโซโดมี(Sodomy)
เจ้าของห้องอาบน้ำในต้นศตวรรษที่ 20 จึงพยายามป้องกันมิให้เกย์เข้าไปใช้บริการ ถ้าพบเห็นเกย์พลอดรักในห้องอาบน้ำ เจ้าของก็จะไปแจ้งตำรวจ หรือจ้างยามเฝ้าตรวจตราพฤติกรรมของผู้ชายที่เข้าไปใช้ห้องน้ำ แต่เจ้าของอาบน้ำบางแห่งก็พอใจกับลูกค้าที่เป็นเกย์เพราะสามารถหากำไรได้มากจากกลุ่มเกย์ ยิ่งเกย์มาใช้บริการมากเท่าไร เจ้าของก็ยิ่งมีกำไรมากเท่านั้น ห้องอาบน้ำที่เปิดโอกาสให้เกย์เข้าไปหาคู่ก็จะกลายเป็นพื้นที่ของเกย์โดยเฉพาะ ชอนซีย์อ้างถึงคำพูดของโธมัส เพนเตอร์ซึ่งเล่าเรื่องเกี่ยวกับห้องอาบน้ำของเกย์ในนิวยอร์คในช่วงปี ค.ศ.1939-1940 ว่า “ในย่านโคนีย์ไอร์แลนด์มีห้องอาบน้ำที่น่าตื่นเต้น เพราะลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการส่วนใหญ่จะเป็นรักร่วมเพศ ซึ่งมีไม่น้อยกว่า 100 คน บางคนชอบอาบแดดที่กลางแจ้ง แต่ส่วนที่นิยมมากที่สุดก็คือห้องอบไอน้ำ ภายในห้องนั้นจะมืดสลัวและเต็มไปด้วยหมอกควัน ทุกคนจะมองไม่เห็นหน้าว่าใครคือใคร รอบๆกำแพงห้องจะมีมานั่ง แต่ต้องระมัดระวังไม่ให้เดินไปชนคนที่นั่งอยู่”
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ห้องอาบน้ำกลายเป็นที่บริการสำหรับเกย์และมีการสร้างห้องอาบน้ำเพื่อเกย์โดยตรง ยุครุ่งเรืองของห้องอาบน้ำสำหรับเกย์คือทศวรรษที่ 70 เป็นต้นมา และเจ้าของห้องอาบน้ำก็เริ่มเป็นของเกย์ ทั้งนี้เนื่องจากเป็นยุคที่เกย์ออกมาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ เกย์จำนวนมากจึงเปิดเผยตัวเองและทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ นอกจากนั้น ยังมีกฎหมายที่อนุญาตให้เปิดกิจการห้องอาบน้ำสำหรับเกย์ได้อย่างถูกต้อง เช่น ในรัฐแคลิฟอร์เนียซึ่งออกกฎหมายอนุญาตในปี ค.ศ.1976 ยุคดังกล่าวนี้จึงเต็มไปด้วยการแสดงออกอย่างเปิดเผยของเกย์ เกย์จึงทำกิจกรรมต่างๆมากมาย ห้องอาบน้ำของเกย์ก็มีกิจกรรมเพิ่มขึ้นด้วย เช่น มีการจัดฉายภาพยนตร์ สื่อสิ่งพิมพ์ของเกย์ก็มีส่วนโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ห้องอาบน้ำหลายๆแห่ง ธุรกิจเกย์ในหลายประเภทจึงมีสื่อช่วยเผยแพร่ ลูกค้าเกย์จึงเพิ่มจำนวนมากขึ้น ห้องอาบน้ำเกย์จัดกิจกรรมเพื่อดึงดูลูกค้า เช่น จัดงานปารตี้เนื่องในเทศกาลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดินพาเหรด วันขอบคุณพระเจ้า วันคริสต์มาส และวันปีใหม่
ในทศวรรษที่ 70 ห้องอาบน้ำของเกย์จึงเป็นพื้นที่ของการแสวงหาความสำราญของเกย์ ในสถานที่เหล่านี้จะมีพื้นที่สำหรับการทำกิจกรรมทางเพศทำให้เกิดสภาพแวดล้อมแบบ “พาฝัน” หรือ fantasy environment เช่น ห้องน้ำจะมีรูเจาะไว้สำหรับการสอดใส่อวัยวะเพศ ห้องมืดที่ใช้เป็นที่หาคู่และมีเพศสัมพันธ์ รู้จักในนาม Orgy Room ห้องดังกล่าวนี้เปิดโอกาสให้เกย์มีเพศสัมพันธ์กันแบบตัวต่อตัวหรือแบบเซ็กซ์หมู่ เขาวงกตที่มีทางเดินซับซ้อนใช้เป็นที่หลบซ่อนและหาคู่เพื่อประกอบกิจกรรมทางเพศ มีห้องอบไอน้ำ ห้องออกกำลังกาย ห้องชมภาพยนตร์ที่มีมุมสำหรับทำกิจกรรมทางเพศ และบางแห่งอาจสร้างห้องจำลองของคุกที่มีโซ่ตรวนแขวนไว้เพื่อบริการลูกค้าที่ชอบความตื่นเต้นเร้าใจ
เมื่อถึงทศวรรษที่ 80 ห้องอาบน้ำสำหรับเกย์ถูกมองว่าเป็นแหล่งมั่วสุมและส่ำส่อนทางเพศ เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์ สาธารณชนเริ่มรับรู้ว่าสถานที่ดังกล่าวนี้คือแหล่งที่เกย์มาหาคู่นอนและมีเพศสัมพันธ์ เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ห้องอาบน้ำของเกย์ก็ถูกมองว่าเป็นต้นเหตุของการแพร่เชื้อ สถานการณ์ของโรคเอดส์ทำให้เกิดข้อถกเถียงอย่างกว้างขวางว่าห้องอาบน้ำของเกย์สมควรจะปิดหรือไม่ มีทั้งผู้ที่ต่อต้านและสนับสนุน และเรื่องที่กลายเป็นประเด็นก็คือห้องอาบน้ำของเกย์คือแหล่งแพร่ระบาดของโรคทางเพศสัมพันธ์หรือว่าเป็นสถานที่ที่ถูกสุขลักษณะ และให้ความรู้เกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ที่สะอาดและปลอดภัย
อาจกล่าวได้ว่า ธุรกิจห้องอาบน้ำสำหรับเกย์เป็นธุรกิจที่สร้างกำไรให้กับนายทุน ขณะเดียวกันก็สร้างพื้นที่ทางวัฒนธรรมให้กับเกย์ แต่ธุรกิจแบบนี้ก็เสี่ยงต่อการถูกปิด เนื่องจากสังคมยังมองว่าห้องอาบน้ำเกย์คือพื้นที่ที่สกปรก มั่วสุม เป็นที่แพร่เชื้อโรค ห้องอาบน้ำเกย์จึงเต็มไปด้วยภาพลบในสายตาของสังคม ในทางตรงกันข้าม พื้นที่นี้คือสรวงสวรรค์สำหรับเกย์จำนวนมากที่ต้องการแสดงออกทางเพศและความปรารถนาของตัวเอง ห้องอาบน้ำช่วยทำให้เกย์พบกับเพื่อน หรือคู่นอน ช่วยทำให้เกย์มีสังคมและเรียนรู้ที่จะสร้าง “ตัวตน”ของตัวเองผ่านการทำกิจกรรมทางเพศในลักษณะต่างๆ การกระทำเหล่านี้อาจจะหล่อแหลมต่อศีลธรรมของสังคม แต่ก็เป็นรูปแบบการใช้ชีวิตของกลุ่มคนที่ถูกสังคมมองว่าเบี่ยงเบนและน่ารังเกียจ
ซาวน่าเกย์ในสังคมไทย
ในสังคมไทย คำว่า bathhouses หรือห้องอาบน้ำไม่เป็นที่รู้จักในหมู่เกย์ แต่เกย์ไทยจะรู้จัก “ซาวน่า” ซึ่งหน้าที่และการให้บริการเหมือนกับห้องอาบน้ำในสังคมตะวันตก ซาวน่าเกย์เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 1980 ซาวน่าแห่งแรกมีชื่อว่า บาบีลอน (Babylon) ปัจจุบันซาวน่าแห่งนี้ยังคงเปิดกิจกรรมและขยายกิจการใหญ่โตมากขึ้น โดยเปิดให้บริการที่พักแก่ชาวเกย์ บาบีลอนประกาศตัวเองว่าเป็นซาวน่าของเกย์ที่ดีที่สุดในประเทศไทยและในโลก เกย์จากต่างชาติรู้จักและเดินทางมาที่บาบีลอนจนทำให้ซาวน่าแห่งนี้ได้รับความนิยม และเป็นที่กล่าวขวัญทั้งในแง่ของสถานที่ที่งดงาม มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ทันสมัย เหมาะแก่การผักผ่อน และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ทางเพศ โฆษณาของบาบีลอนในเว็บไซต์มีคำเชิญชวนดังนี้
“คุณจะได้รับประสบการณ์แปลกใหม่ ในสถานที่อันโออ่าและหรูหราขึ้นกว่าเดิม อย่างที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน เป็นสถานที่ที่วิเศษสุด ที่จะทำให้คุณสามารถปลดปล่อยตัวเองตามจินตนาการอันกว้างไกล ดื่มด่ำในบรรยากาศของสถาปัตยกรรมอันล้ำสมัยของเรา แต่งองค์ทรงเครื่องของคุณให้วิลิสมาหรา แล้วพร้อมสำหรับช่วงเวลาแห่งความสุข บาบิลอน ซาวน่า กรุงเทพฯ…สวรรค์บนดินสำหรับชาวเกย์ มาร่วมค้นพบโลกใหม่ของชาวเกย์ ที่คุณสามารถปลดปล่อยอารมณ์ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”
คำโฆษณาของบาบีลอนมีทั้งภาษาไทย อังกฤษ และภาษาจีน บาบีลอนจึงเป็นซาวน่าที่มีเกย์จำนวนมากไปอุดหนุน เนื่องจากมีกิจกรรมไว้บริการหลายอย่าง ได้แก่ ห้องอบไอน้ำเปียก ห้องซาวน่า หรือห้องอบแห้ง ห้องนอนส่วนตัว เขาวงกต ห้องมืด สระว่ายน้ำ อ่างน้ำวนหรือจากุชชี ห้องออกกำลังกาย มุมกาแฟและเครื่องดื่ม ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านเสริมสวย ร้านตัดผม มีบริการอินเตอร์เน็ต นวดแผนโบราณ นวดน้ำมัน และฉายภาพยนตร์ นอกจากนั้น บาบีลอนยังจัดกิจกรรมในช่วงเทศกาลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวันปีใหม่ วันคริสต์มาส วันแห่งความรัก วันตรุษจีน วันสงกรานต์ วันลอยกระทง หรือวันฮัลโลวีน ในกิจกรรมดังกล่าวจะมีการแสดงดนตรี การเดินแฟชั่น ประกวดนายแบบ ประกวดชุดแฟนซี และมีการแจกของรางวัลมากมาย บรรยายและกิจกรรมในบาบีลอนสร้างความประทับใจให้กับเกย์ที่เข้าไปใช้บริการ ในช่วงเทศกาลหรือวันเสาร์อาทิตย์อาจมีผู้เข้าไปใช้บริการประมาณ 400 –500 คน
ในช่วงทศวรรษที่ 90 ซาวน่าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ โอบิลิสต์ ปัจจุบันซาวน่าแห่งนี้ปิดตัวเองลง และทิ้งไว้เพียงตำนานที่เล่าขานว่าเป็นซาวน่าที่สูงที่สุดในประเทศไทย กล่าวคือ เป็นซาวน่า 11 ชั้นที่ตกแต่งสถานที่งดงาม มีการบริการไม่แพ้บาบีลอน และเป็นที่นิยมของชาวเกย์ทัดเทียมกับบาบีลอน ซาวน่าอื่นๆที่ได้รับความนิยมแต่สถานที่อาจไม่สะดวกสะบายและสวยงามเท่าซาวน่าสองแห่งแรกก็คือ ฟารอส เป็นซาวน่าที่มีราคาถูกลงมา ค่าบริการของบาบีลอนและโอบิลิสต์จะอยู่ในระดับ 200-300 บาท ส่วนฟารอสจะอยู่ในระดับ 150-200 บาท ฟารอสใช้อาคารพาณิชย์มาดัดแปลงเป็นซาวน่า สาเหตุที่ทำให้ฟารอสมีผู้เข้าไปใช้บริการมากก็คือเปิดบริการถึงเช้า และมีกิจกรรมที่ดึงดูดลูกค้า เช่นจัดปาร์ตี้บริการอาหารและเครื่องดื่มฟรี จัดปารตี้เปลือยกายในห้องมืดเพื่อเอาใจผู้ที่ต้องการหาคู่ เป็นต้น ซาวน่าอีกแห่งหนึ่งที่เปิดบริการถึงเช้าคือ โคโลนี ซาวน่าแห่งนี้ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน โคโลนีเป็นซาวน่าที่ใช้บ้าน 2 ชั้นมาปรับปรุงสถานที่ให้เหมาะสม และมีสระว่ายน้ำไว้บริการลูกค้า บรรยากาศของโคโลนีจึงแตกต่างไปจากฟารอส บาบีลอน และโอบีลิสต์ เพราะเกย์ที่เข้าไปใช้บริการจะรู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินเล่นอยู่ในบ้าน
ช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ซาวน่าน้องใหม่มาแรงคือ ฉกรรจ์ ซาวน่าแห่งนี้มีการตกแต่งสถานที่สวยงามและมีบริการหลายประเภท คล้ายๆกับบาบีลอน แต่สถานที่เล็กกว่า ซาวน่าเกย์แห่งอื่นๆที่มีทั้งเก่าและใหม่ ได้แก่ สุโขทัย จีจี้ แองเจโล่ เฮอร์คิวลิส โอไรอ้อน เดอะบีช ซิตี้ออฟเองเจิล บ้านไทย ฉกรรจ์ เอ็กซ์ทู เดอะดอร์ เดอะโซน ครุยซิ่ง สตั้ด เดอะกู้ดวิว ซาวน่ามาเนีย เฮพเว่น ฮีโร่ และ เกสร อย่างไรก็ตาม ในยุคที่ซาวน่าเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูง โดยเฉพาะในช่วง พ.ศ.2535 เป็นต้นมา มีซาวน่าหลายแห่งต้องปิดกิจการของตัวเองลง ซาวน่าที่สามารถดำเนินกิจการอยู่ได้ต้องปรับวิธีการให้บริการลูกค้า และสร้างความแตกต่างให้กับตัวเอง ปัจจัยที่มีผลทำให้ซาวน่าดำรงอยู่และเป็นที่นิยมของเกย์ก็คือ ราคา สถานที่ และการให้บริการ ซาวน่าในระดับที่หรูหรา เช่น บาบีลอน และฉกรรจ์ สามารถครอบครองตลาดและมีเกย์เข้าไปใช้จำนวนมาก ทั้งนี้เนื่องจากมีการบริการที่ดี สถานที่สะอาด สวยงาม และเหตุผลสำคัญคือมีลูกค้าที่เป็นเกย์มาก เหตุผลสุดท้ายนี้ทำให้เกย์เลือกที่จะเข้าไปใช้บริการ เกย์จะไม่เข้าไปในซาวน่าที่มีคนน้อยเพราะมีตัวเลือกในการจับคู่น้อย ถ้าซาวน่าใดมีเกย์เข้าไปใช้มากก็จะยิ่งเป็นที่นิยมของเกย์มากเท่านั้น
เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้ซาวน่าบางแห่งต้องปิดตัวเอง คือ การจัดระเบียบสังคม และการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในกรณีของโอบีลิสต์เจอกับสถานการณ์เช่นนี้จึงต้องปิดตัวเองลง ฟารอส และเดอะบีชก็เคยถูกตรวจค้นบ่อยๆและเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ ทั้งฟารอสและเดอะบีชในซาวน่าระดับกลางที่มีเกย์เข้าไปใช้บริการมาก แต่เมื่อมีตำรวจเข้ามาวุ่นวาย ซาวน่าทั้งสองแห่งนี้ก็กลายเป็นซาวน่าที่มีชื่อทางลบ และส่งผลให้ลูกค้าไปใช้บริการน้อยลง ในช่วงปี พ.ศ.2546-2547 จึงมีกระแสความคิดเรื่องการจัดระเบียบซาวน่าเกย์ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้ามาตรวจค้นพบว่า ซาวน่าเกย์สกปรก คับแคบ ไม่ถูกสุขลักษณะ และเป็นที่แพร่เชื้อโรค กระแสความคิดนี้ได้รับการถกเถียงในหมู่เกย์และองค์กรที่ทำงานด้านนี้ เช่น ฟ้าสีรุ้งและบางกอกเรนโบว์ เกย์ที่เป็นนักเคลื่อนไหวทางสังคมพยายามลุกออกมาปกป้องว่าซาวน่าของเกย์คือชีวิตส่วนตัวของเกย์ การเข้ามาปิดกันของเจ้าหน้าที่คือการทำลายสิทธิส่วนบุคคล
ในแง่สังคม ซาวน่าเกย์จะถูกมองในแง่ลบเสมอ เช่นเดียวกับสังคมตะวันตกที่ซาวน่าจะถูกปราบปรามและกวาดล้าง เจ้าหน้าที่ของรัฐอ้างเหตุผลว่าซาวน่าเกย์คือแหล่งมั่วสุมของยาเสพติดและเชื้อโรค เมื่อมีการตรวจค้น เจ้าหน้าที่รัฐจะบังคับให้เกย์ที่เข้าไปใช้บริการในซาวน่าตรวจปัสสาวะ เพื่อสุ่มหาว่ามีการใช้ยาเสพติดหรือไม่ เจ้าหน้าที่ของรัฐท่านหนึ่งแสดงทัศนะต่อเรื่องนี้ว่า
“การเข้าไปจัดระเบียบสังคม เราได้รับการร้องเรียนมาทางสถานีตำรวจต่างๆ มาก่อน เพราะมีเสียงอึกทึกคึกโครม ซึ่งบางที่ทางตำรวจได้ไปดำเนินการอยู่แล้ว จนกระทั่งมีการส่งฟ้องศาลและมีการปรับเป็นเงิน 4-5 พันบาทแล้ว ก็ยังเปิดกิจการต่อ ชาวบ้านก็รู้สึกว่าสร้างความเดือดร้อนรำคาญ แต่การที่เราเข้าไปไม่ได้จับนักเที่ยว แต่เข้าไปจัดระเบียบผู้ประกอบการให้ถูกต้องตามกฎหมาย และบางแห่งก็พบว่ามีการใช้ยาเสพติด อาจจะมีการจัดหาจากผู้ประกอบการ”
ทัศนะของเกย์ต่อเรื่องนี้แตกต่างไปจากเจ้าหน้าที่รัฐ ดังเช่น
“วัตถุประสงค์ของการเปิดสถานบริการแบบนี้ เพื่อให้มีที่พบปะกันเฉพาะกลุ่มที่เหมือนกัน เราอยู่กันอย่างเจียมตัวอยู่แล้ว ตรงไหนที่อยู่กันอย่างสงบ เราก็จะไปอยู่ตรงนั้น และการที่เข้าไปในสถานที่แห่งนั้นจะพบคนถูกใจและจะไปต่อกันที่ไหน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เหมือนกับผู้ชายและผู้หญิงไปเจอกัน ผมว่าปัญหาหลักอยู่ที่ทัศนคติของสังคมด้วยว่ามองภาพของสถานประกอบการแบบนี้เป็นไปในลักษณะไหน”
“ตรงนั้นจะไปพูดว่าไปมั่ว คงไม่ได้ อย่าไปมองว่าเข้าไปปุ๊บ ทุกคนต้องไปมั่วเซ็กซ์ ซึ่งคนที่ไปเที่ยวจะรู้ดีว่าไม่ใช่แบบนั้น เกย์เองก็มีความรักและมีจิตใจเหมือนกันนะฮะการที่จะเจอใครซักคนนึง แล้วมีเซ็กซ์ด้วย ผมคิดว่าก็ต้องใช้เวลากันพอสมควร ในการพูดจา หรือถูกใจกัน และผมเพิ่งทราบประเด็นใหม่ด้วยว่า ที่ท่านอริสมันต์บอกว่าผู้ประกอบการจัดหายาเสพติดให้กับผู้บริการ เป็นยังไงครับ”
“เขาสมัครใจไปอยู่แล้ว แต่วิธีการที่เข้าไปบุก เราคิดถึงความเป็นมนุษย์ของเขาไม๊ เพราะถ้าพ่อแม่ดูจากทีวีหรือดูจากหนังสือพิมพ์ จะคิดอย่างไร ซึ่งผู้ไปใช้บริการก็อยากจะปิดรสนิยมทางนี้ เพราะไม่อยากให้พ่อแม่ได้รับรู้ ซึ่งเขาคิดว่าตรงนี้เขาปลอดภัยแล้ว เพราะมาเป็นส่วนตัว และเป็นกลุ่มของเขาทั้งนั้นเลย”
เสียงสะท้อนดังกล่าวชี้ให้เห็นว่า ซาวน่าเกย์อยู่ในสถานการณ์ที่หล่อแหลม และสังคมก็จะมีภาพลบต่อซาวน่าเกย์ เหตุการณ์และกิจกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นในซาวน่า ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การร้องเพลง การผักผ่อน การนุ่งน้อยห่มน้อย การเปลือยกาย หรือการมีเพศสัมพันธ์ ในหมู่ชาวเกย์จะมองว่าเป็นเรื่องปกติ ดังจะเห็นได้จากทัศนะต่อไปนี้
“ผมเป็นคนสมัยใหม่มาก และต้องการให้คนภูมิใจในความเป็นเกย์ของตัวเอง ผมเป็นเกย์ เป็นคนเที่ยว และเรื่องแบบนี้มีมานานแล้วไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงขายตัว ซาวน่าเกย์ก็มีมานานแล้ว แต่ตำรวจเพิ่งมาตรวจเท่านั้นเอง แต่ในกลุ่มของเรา ถือว่าเป็นการพักผ่อน เหมือนผู้ชายไปเที่ยวอาบอบนวด ไปเที่ยวซาวน่าเกย์ ก็ต้องมีเซ็กซ์ ก็คือจบ แต่เราอยู่ในกรอบของเรา ทำตัวเองให้เรียบร้อย รู้จักป้องกันตัวเอง ใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเวลามีเพศสัมพันธ์ และก็เป็นสถานที่มาพักผ่อน มาออกกำลังกาย ก็มีทั้งสองอย่าง จริงๆ ปิดสังคมไม่ได้หรอก ในที่สุดคนเที่ยวก็รู้เอง”
แต่ทัศนะของบ้านเมือง สังคม และเจ้าหน้าที่ของรัฐเชื่อว่าซาวน่าเกย์ก่อให้เกิดการทำผิดศีลธรรม ผิดกฎหมาย และเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่เยาวชน อย่างไรก็ตามบทความเรื่องนี้จะไม่วิเคราะห์ว่าทำไมซาวน่าเกย์จึงถูกมองในแง่ลบ และกิจกรรมในซาวน่าถูกหรือผิด หากแต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า วงจรชีวิตของซาวน่าเกย์ในสังคมไทยไม่ได้ราบรื่น ซาวน่าเกย์ต้องปรับตัวไปตามกระแสที่สังคมเรียกร้องเพื่อที่จะสร้างความชอบธรรมและพื้นที่ทางสังคมให้ตัวเอง เจ้าของกิจการซาวน่าในยุคปัจจุบันจึงต้องอ้าแขนรับนโยบายจัดระเบียบสังคม เช่น มีการตรวจบัตรประชาชนของลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการ และมีป้ายปิดประกาศหน้าประตูว่าไม่อนุญาตให้เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้ามาใช้บริการ หรือเขียนประกาศว่าสถานบริการแห่งนี้ปฏิบัติตามนโยบายการจัดระเบียบสังคม การติดประกาศและตรวจบัตรประชาชนสะท้อนให้เห็นว่าซาวน่าคือธุรกิจที่ต้องอยู่รอดให้ได้ ถ้าต้องการมีกำไรจากธุรกิจประเภทนี้นอกเหนือจากจะเน้นการบริการที่ดีแล้ว จะต้องทำตัวให้เป็นพลเมืองที่ดีด้วย คือไม่ทำผิดกฎหมายและเชื่อฟังเจ้าหน้าที่ของรัฐ สิ่งเหล่านี้คือเรื่องปกติของระบบธุรกิจที่แฝงไว้ด้วยอำนาจและการมีผลประโยชน์ต่างตอบแทน ไม่ว่าจะเป็นนายทุน นักธุรกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ตาม คำถามคือ ชีวิตเกย์ที่โลดแล่นอยู่ในซาวน่าเป็นชีวิตที่เลือกได้จริงๆหรือไม่
ลีลาชีวิตในซาวน่า
โลกภายในซาวน่าเกย์เป็นโลกที่ต่างไปจากสังคมภายนอกของรักต่างเพศ โลกแห่งนี้ท้าทายระบบกฎหมาย ระบบศีลธรรม จารีตประเพณี และระบบอำนาจของชายจริงหญิงแท้ ในเวลาเดียวกัน โลกแห่งนี้ก็เป็นภาพสะท้อนของวัฒนธรรมเกย์กระแสหลักที่เกาะเกี่ยวและโยงใยอยู่ในระบบบริโภคและทุนนิยม ชีวิตเกย์ที่เกิดขึ้นในซาวน่าสร้างจินตนาการ ความตื่นเต้น การผจญภัย และความรื่นรมย์ให้กับเกย์ที่เข้าไปใช้บริการ เกย์หลายคนได้พบเจอเพื่อนใหม่ บางคนได้พบคนรัก และมีอีกหลายคนได้คู่นอน สิ่งเหล่านี้มีความหมายต่อเกย์อย่างไร ชีวิตทางเพศของเกย์เกี่ยวข้องกับซาวน่าอย่างไร เกย์ให้ความหมายต่อตัวเองและคนอื่นๆอย่างไร คำถามเหล่านี้จะวิเคราะห์ในลำดับต่อไป
เกย์ที่เข้าไปใช้บริการในซาวน่ามีหลายจุดประสงค์ เช่น ไปหาคู่นอนเพื่อมีเซ็กซ์ ไปพักผ่อน ร้องเพลง รับประทานอาหาร เครื่องดื่ม ไปนวดตัวเพื่อสุขภาพ ไปออกกำลังกาย ไปอบตัวในห้องอบแห้งและอบไอน้ำ หรือไปนัดพบเพื่อนๆเพื่อสังสรรค์หรือพูดคุยประสบการณ์ชีวิต เมื่อเกย์ตัดสินใจที่จะไปซาวน่าสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือซื้อค่าบริการล็อคเกอร์จากพนักงาน หลังจากนั้นก็จะเข้าไปที่ห้องล็อคเกอร์เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ในล็อคเกอร์จะมีผ้าเช็ดตัว 2 ผืนไว้ให้ลูกค้าเปลี่ยน ซาวน่าบางแห่งอาจมีบริการเสื้อคลุมด้วย เช่น บาบีลอน และโอบิลิสต์ เกย์ที่เข้าไปใช้ซาวน่าจึงต้องนุ่งผ้าเช็ดตัวเหมือนกันทุกคน เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เกย์แต่ละคนก็จะเลือกไปทำกิจกรรมตามที่ตนเองปรารถนา หากต้องการร้องเพลงอาราโอเกะ รับประทานอาหารหรือเครื่องดื่ม พนักงานก็จะเข้าสอบถามว่าล็อคเกอร์หมายเลขอะไรเพื่อที่จะจดหมายเลขของลูกค้าไว้และลูกค้าต้องจ่ายค่าบริการเมื่อนำกุญแจไปคืนแก่พนักงานในตอนกลับ
ในช่วงวันศุกร์และวันเสาร์เป็นวันที่เกย์จะนิยมไปใช้บริการซาวน่า เนื่องจากมีลูกค้ามาก เกย์ก็มีโอกาสพบกับเพื่อนใหม่ หรือคู่ขาใหม่ ลูกค้ามากจึงเท่ากับมีตัวเลือกมาก เหตุผลนี้ทำให้ซาวน่าเกย์เป็นดินแดนของการแสดงออกทางเพศอย่างเปิดเผย การแสดงท่าทาง การส่งสายตา รอยยิ้ม การเข้ามาทักทายของเกย์เพื่อที่จะหาคู่ เกย์แต่ละคนจะมีวิธีการแตกต่างกัน บางคนหาคู่ในห้องมืด หรือห้องอบไอน้ำ การหาคู่แบบนี้จะไม่มีการพูดคุยกัน เกย์ที่จับคู่กันอาจมองไม่เห็นหน้ากัน เมื่อเกิดการจับคู่ในห้องมืดแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือการทำกิจกรรมทางเพศ บางคนอาจหาคู่ในบริเวณที่โล่งแจ้งเช่นตามทางเดิน หน้าห้องนอน บริเวณที่ออกกำลังกาย ริมสระว่ายน้ำ เกย์ที่หาคู่ในที่โล่งแจ้งจะเข้าไปทักทายพูดคุยกับคนที่หมายปองไว้ จากนั้นก็จะจับมือกันเดินไปหาที่พลอดรักและมีเซ็กซ์ เกย์บางคนอาจส่งสายตาให้กับคนที่สนใจแล้วเข้าไปจับมือ ถ้าถูกใจกันก็จะเข้าไปในห้องนอนเพื่อมีเพศสัมพันธ์กัน เกย์บางคนที่หน้าตาหล่อและเป็นที่ต้องการของผู้อื่น อาจตกเป็นเหยื่อของเกย์หลายคน เกย์ที่หน้าตาดี และมีรูปร่างดีจึงต้องคอยหลบหนีเกย์บางคนที่มีความ “หื่นกระหาย” เกย์ที่แสดงความต้องการทางเพศอย่างรุนแรง เช่นเข้าไปรวนลาม ฉุดกระฉากมือ เข้าไปจับอวัยวะเพศของคนอื่นอย่างจู่โจม คือบุคคลที่ไม่มีใครชอบ เพราะแสดงถึงความไร้มารยาท เกย์ที่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าวแบบนี้มีไม่มากนัก และส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ที่มีรูปร่างอ้วนมาก และหน้าตาไม่ดี เกย์ที่หน้าตาดีและรูปร่างดี จึงมักจะจับคู่กับคนที่หน้าตาและรูปร่างดีเหมือนกัน
การแสดงท่าทางและการสร้างบุคลิกภาพของเกย์ในซาวน่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง โดยเฉพาะท่าทีเพื่อทำให้ตนเองเป็นที่สนใจ เกย์ที่หน้าตาดีมักจะไม่ชอบยืนในมุมมืด แต่จะยืนในที่สว่าง มักจะไม่เข้าไปอยู่ในห้องอบนานๆเพราะอาจถูกรวนลาม เกย์ที่หน้าตาดีมักจะมากับเพื่อนและจับกลุ่มคุยกันในห้องออกกำลังกาย ห้องอาหาร หรือ มุมพักผ่อน เกย์ที่หน้าตาดีและมีรูปร่างดีจะนิยมไปออกกำลังกายและว่ายน้ำ นอกจากนั้นยังนิยมสวมสร้อยคอ ต่างหู กำไล แหวน และอาจมีการเขียนลายบนท่อนแขน หน้าอก แผ่นหลัง หรือสะโพก เกย์ที่มีรูปร่างดีจะโชว์สัดส่วนเรือนร่างของตัวเองอย่างภูมิใจ ชอบเดินไปเดินมาไม่นั่งอยู่กับที่ เกย์ที่รูปร่างดีมักจะอยู่ในกลุ่มคนที่มีรูปร่างดีเหมือนกัน และจะจับคู่กันเพื่อมีเพศสัมพันธ์
ตรงข้ามกับเกย์ที่อ้วนเกินไปหรือผอมเกินไป เกย์ประเภทนี้จะมีความรู้สึกอายต่อรูปร่างของตัวเอง และบางคนก็จะนำผ้าเช็ดตัวมาคลุมร่างกายส่วนบน แต่บางคนก็จะเข้าไปหลบอยู่ในห้องมืดเพื่อมิให้ใครเห็น เกย์ที่อ้วนมากๆจะไม่ได้รับความสนใจจากคนอื่น วิธีการที่เกย์อ้วนจะได้คู่จึงจำเป็นต้องเข้าไปในที่มืดสลัวเพื่ออำพรางตัว เมื่อมีคนเดินผ่านก็จะเข้าไปจับเนื้อต้องตัว บางทีอาจเข้าไปรวมวงกับคนอื่นที่กำลังมีกิจกรรมทางเพศ เช่น ในขณะที่เกย์คู่หนึ่งกำลังกอดกันอยู่ในห้องอบไอน้ำ เกย์อ้วนก็อาจเอามือไปจับอวัยวะเพศของคนทั้งคู่ ซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับการปฏิเสธ อย่างไรก็ตาม เกย์อ้วนก็อาจสมหวังเมื่อไปเจอกับเกย์ที่สามารถมีเซ็กซ์กับใครก็ได้ เพราะเซ็กซ์อาจเป็นเพียงการระบายความใคร่ เมื่อถึงจุสุดยอดแล้วก็แยกทางกัน เกย์อ้วนจึงอาจเป็นฝ่ายช่วยบำบัดความใครให้กับคนบางคน เช่น ใช้มือหรือปากอมอวัยวะเพศของผู้อื่นเพื่อให้ผู้นั้นถึงจุดสุดยอด
การแสดงออกทางเพศของเกย์ในซาวน่าอาจไม่มีสูตรสำเร็จ เกย์แต่ละคนจะเรียนรู้ที่จะแสวงหาวิธีการที่เหมาะสมให้กับตัวเอง อย่างไรก็ตาม การจับคู่ในซาวน่า มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นง่ายนัก เพราะเกย์แต่ละคนยังมีความหวั่นวิตกและไม่กล้าแสดงออก หากสนใจใครบางคน เกย์คนนั้นอาจไม่กล้าเข้าไปคุยหรือชวนไปมีเพศสัมพันธ์ บางครั้งความอายและไม่กล้าอาจทำให้เกย์บางคนไม่สามารถมีคู่นอนได้ วิธีการจับคู่ในซาวน่าจึงเป็นศิลปะส่วนบุคคล ประสบการณ์การจับคู่ของเกย์จึงมีต่างกันไป มีเงื่อนไขหลายอย่างที่เกย์คนหนึ่งจะได้คู่นอน ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา การแสดงมิตรภาพ การยิ้มแย้ม การทักทายปราศรัย แต่ในทางตรงกันข้าม การจับคู่อาจจะมาจากความไม่ได้ตั้งใจ เกย์บางคนอาจยืนเฉยๆในห้องมืดเพื่อรอให้ใครก็ได้มาเลือกเพื่อพาไปสำเร็จความใคร่ เกย์บางคนอาจเลือกมากเพราะอยากได้คนที่ถูกใจจริงๆ การเลือกมากก็อาจทำให้ไม่ได้คู่นอน
กิจกรรมทางเพศในซาวน่าสามารถเกิดขึ้นได้ในห้องอบเปียกหรืออบไอน้ำ เนื่องจากเป็นห้องที่มืด เกย์จึงกล้าที่จะสำเร็จความใคร่ให้กันและกัน นอกจากนั้น ยังมีในห้องมืด เขาวงกต และห้องนอนซึ่งเป็นสถานที่ที่มิดชิด ภายในห้องนอนขนาดเล็กประมาณ 2-3 ตารางเมตร จะมีเตียงเล็กๆไว้เพื่อการทำกิจกรรมทางเพศ บางแห่งอาจมีสารหล่อลื่นบรรจุขวดพร้อมกระดาษชำระไว้บริการด้วย ซาวน่าที่มีเกย์เข้าไปใช้บริการมากๆ อาจทำให้ห้องนอนเต็ม เกย์จึงต้องรอคิวเพื่อผันเปลี่ยนกันเข้าไปใช้ห้อง ความมืดสลัวคือหัวใจสำคัญในการสร้างบรรยายเพื่อการหาคู่นอน ซาวน่าทุกแห่งจะมีพื้นที่สำหรับการหาคู่ บาบีลอนจะมีพื้นที่ประเภทนี้อยู่มาก แต่ซาวน่าขนาดเล็กอาจมีพื้นที่จำกัด เช่น เดอะบีช พื้นที่สำหรับหาคู่อาจเป็นทางเดินระหว่างห้องนอน เป็นห้องมืด ห้องชมภาพยนตร์ เขาวงกต ห้องอบไอน้ำ และห้องซาวน่า ความสลัวทำให้เกิดบรรยากาศคลุมเคลือ หน้าตาของเกย์แต่ละคนจึงถูกซ่อนอยู่ในความสลัวของแสงเงา เกย์ที่หน้าตาไม่ดีก็อาจใช้ประโยชน์จากความสลัวนี้อำพรางใบหน้าและรูปร่างของตัวเอง พื้นที่ที่มีความสลัวนี้จะเป็นสถานที่รวมตัวของเกย์ที่ต้องการหาคู่นอนและระบายความใคร่
เรื่องราวของซาวน่านอกเหนือจากการทำกิจกรรมทางเพศแล้ว ยังมีเรื่องอื่นๆเกิดขึ้นอีก ได้แก่ การสร้างชุมชนของเพื่อนที่มาออกกำลังกาย บริหารร่างกาย การนัดเจอกันของเกย์เหล่านี้ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน ความรัก มิตรภาพ เพศสัมพันธ์ แฟชั่น ดนตรี ศิลปะ สุขภาพ การเมือง สังคม เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยว เกย์สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง ในกรณีที่เกย์เข้าไปสนทนากับเพื่อนใหม่จะมีการถามประวัติส่วนตัวของแต่ละคนว่าทำงานที่ไหน เรียนที่ไหน ชอบไปเที่ยวที่ไหน รวมไปถึงรสนิยมทางเพศ ประสบการณ์เกี่ยวกับความรัก ความผิดหวังและสมหวังในความรัก เป็นต้น
ในที่นี่จะยกตัวอย่างซาวน่า 3 แห่งที่มีลักษณะแตกต่างกัน ได้แก่ บาบีลอน, ฉกรรจ์ และ เดอะบีช
กรณีที่หนึ่ง บาบีลอน ซาวน่านานาชาติ
เกย์ที่เข้าไปใช้บริการที่บาบีลอน มีทั้งเกย์ไทย เกย์เอเชีย เกย์ตะวันตก ซึ่งทำให้บรรยากาศที่บาบีลอนต่างไปจากซาวน่าอื่นๆอย่างชัดเจน ค่าบริการในวันธรรมดาคนละ 210 บาท ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์คนละ 250 บาท ผู้ที่มาใช้บริการที่นี่จึงค่อนข้างมีฐานะดี คำโฆษณาของบาบีลอนก็คือ “สวนในฝันสำหรับชาวเกย์” และ “สวรรค์บนดินสำหรับชาวเกย์” เมื่อเข้าไปใช้ชีวิตในบาบีลอนแล้วจะทำให้รู้สึกว่าที่นี่คือชุมชนเกย์นานาชาติ เนื่องจากบาบีลอนมีชื่อเสียงในต่างประเทศ จนกลายเป็นที่กล่าวขวัญว่าเป็นซาวน่าที่ดีที่สุดในโลก เกย์ต่างชาติจึงเลือกที่จะมาที่บาบีลอน บาบีลอนจึงกลายเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการท่องเที่ยวของเกย์ต่างชาติ โดยเฉพาะเกย์จากประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง ไต้หวัน และมาเลเซียจะเดินทางมาที่บาบีลอนไม่ขาดสาย แต่ลูกค้าที่เป็นชาวตะวันตกจะมีอายุเฉลี่ยที่สูงกว่าชาวเอเชีย กล่าวคือ เกย์เอเชียอาจมีอายุในช่วง 30-40 ปี แต่ชาวตะวันตกอาจมีอายุเฉลี่ยมากกว่า 50 ปี ขึ้นไป แต่เกย์ชาวไทยมีอายุตั้งแต่ระดับ 20 ปี จนถึง 60 ปี แต่อายุเฉลี่ยของเกย์ไทยที่ไปใช้ซาวน่าอยู่ในช่วง 20-35 ปี
เกย์ในบาบีลอนมักจะมารวมตัวบริเวณห้องอบไอน้ำบริเวณชั้นหนึ่งซึ่งมีสองห้อง ห้องแรกอยู่บริเวณสระว่ายน้ำ ห้องที่สองอยู่ใกล้ร้านอาหาร ในห้องอบไอน้ำจะมีเกย์มาจับคู่กันหลายคู่ ถ้าต้องการพักผ่อนก็จะมานั่งพักริมสระน้ำ หรือที่นั่งบริเวณห้าห้องอบไอน้ำ อีกบริเวณหนึ่งที่มีเกย์จำนวนมากคือชั้นสอง ชั้นนี้เป็นห้องนอน เกย์จะมายืนตามทางเดินเพื่อรอคนที่ถูกใจ บริเวณชั้นสองนี้มีห้องนอนจำนวนมาก ห้องนอนแต่ละห้องจะทาสีดำ และมีไฟดวงเล็กๆส่องพอให้เห็นหน้า ห้องนอนจะมีทั้งอาคารหนึ่งและอาคารสอง ลูกค้าสามารถเดินผ่านไปโดยทางเชื่อม บริเวณอาคารสองจะมีห้องโถงคล้ายๆกับดิสโก้เธคที่มีเสียงเพลงคึกคัก ชั้นล่างของห้องนอนจะเป็นพื้นที่หาคู่แบบผจญภัย เช่น ห้องที่ล่ามโซ่ ห้องน้ำที่มีช่องเจาะรูไว้สำหรับสำเร็จความใคร่ และเขาวงกต พื้นที่ต่างๆในบาลีลอนจะตกแต่งอย่างงดงามและเหมาะสำหรับการผจญภัยสำหรับผู้ที่ต้องการความแปลกใหม่
เกย์ตะวันตกที่มาใช้บริการที่บาบีลอน มักจะไม่นิยมเดินไปเดินมาเพื่อหาคู่ แต่จะนิยมสั่งเครื่องดื่มมารับประทานบริเวณสวนหย่อม ริมสระน้ำ หรือห้องอาหาร และส่วนใหญ่จะมากับเด็กหนุ่มซึ่งเป็นคนไทย เด็กหนุ่มที่มากับเกย์ตะวันตกที่มีอายุมากจะมีรูปร่างหน้าตาแบบไทยชนบท คือมีผิวสีน้ำตาล มีกล้ามเนื้อพองาม รูปร่างสมส่วน พื้นเพอาจจะมาจากต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จุดประสงค์ของเกย์ตะวันตกอาจมิได้มาหาคู่ หากแต่มาพักผ่อนกับเด็กหนุ่มที่เป็นไกด์นำเที่ยวและเป็นคู่นอนในเวลาเดียวกัน เกย์ไทยที่มากับชาวตะวันตกเคยบอกกับผู้เขียนว่าอาจมีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศ หรือถ้าดีกว่านั้นอาจได้รับการส่งเสียให้เรียนหนังสือ มีบ้าน มีคอนโดมีเนียม รวมถึงเครื่องใช้ต่างๆ
นอกจากนั้น ยังพบว่าเกย์ชาวไทยที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีและอาศัยอยู่ในเมืองก็มีรสนิยมชอบชาวต่างชาติ เกย์ประเภทนี้จะมีความรู้ มีไหวพริบ มีความเข้าใจภาษาอังกฤษ สามารถติดต่อสื่อสารกับชาวต่างชาติได้ รสนิยมดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นว่าเกย์ไทยต้องการเข้าสังคมของชาวต่างชาติ กล่าวคือการคบหากับชาวต่างชาติ (จีน มาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง ญี่ปุ่น อเมริกัน และยุโรป) จะเป็นสัญลักษณ์ของโลกาภิวัตน์ที่เกย์ไทยสมัยใหม่ต้องการก้าวไปให้ทันโลก และยังหมายถึงการข้ามพรมแดนทางวัฒนธรรม เปิดโอกาสให้เกย์ไทยพบเจอสิ่งแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา เกย์ต่างชาติจึงมิได้เป็นเพียงบุคคลธรรมดา หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัย ความเปลี่ยนแปลง และการเลื่อนสถานภาพทางสังคม บาบีลอนจึงไม่ได้เป็นเพียงซาวน่าแต่ยังเป็นเครื่องหมายของการออกไปสู่โลกภายนอก หรือโลกที่หลุดพ้นจากวัฒนธรรมไทย
กรณีที่สอง ฉกรรจ์ ซาวน่าชนชั้นกลาง
ฉกรรจ์ตั้งอยู่ในบริเวณกลางเมืองซึ่งเป็นที่อยู่ของชนชั้นกลางที่มีฐานะดี ฉกรรจ์ประกาศตัวเองว่าเป็นศูนย์สุขภาพชายที่งดงามและอลังการที่สุดในกรุงเทพฯ คำโฆษณาของฉกรรจ์มีดังต่อไปนี้
“ศูนย์สุขภาพชายที่งดงามและอลังการที่สุดในกรุงเทพมหานคร วันนี้ สวรรค์แห่งชายหนุ่มที่รวมเอาสุดยอดความเป็นชายแห่งเอเชีย ไว้ที่นี่ที่เดียว คุณจะพบกับบรรยากาศแห่ง Harlem ณ ชั้นล่างของ CHAKRAN สระว่ายน้ำที่แสนรัญจวนใจ และเพิ่มพลังดึงดูดให้คุณใต้แผ่นน้ำสีฟ้าสดใส นอกจากนั้นคุณยังจะพบกับสระ Jacuzzi น้ำอุ่น อุณหภูมิพอเหมาะ ที่ช่วยให้คุณผ่อนคลายใต้สายน้ำที่อบอุ่น อุณหภูมิภายในร่างกายคุณ จะขยับขึ้น พร้อมกับขบวนชายงามแห่ง CHAKRAN ที่เดินอวดโฉมตลอดวัน ในขณะที่คุณผ่อนกาย CHAKRAN ยังเพิ่มเสน่ห์ให้แก่คุณด้วยห้องออกกำลังกาย ที่ได้มาตรฐาน และพนักงานที่เป็นกันเอง พร้อมที่จะให้คำแนะนำแก่คุณทุกขั้น ทุกตอน ในการบริหารร่างกาย เพื่อเพิ่มแรงดึงดูดแก่สายตาทุกคู่ที่พบคุณ “
ค่าบริการวันธรรมดาอัตราคนละ 230 บาท วันศุกร์ เสาร์และอาทิตย์ คนละ 250 บาท ถ้ามีเทศกาลพิเศษ เช่น มีปาร์ตี้ หรือประกวดนายแบบจะคิดค่าบริการ 300 บาทหรือมากกว่านั้น ผู้ที่จะไปใช้บริการที่นี่จึงต้องมีทุนทรัพย์พอสมควร แต่เจ้าของกิจการก็พยายามเอาใจผู้ที่มีรายได้น้อยหรือยังเป็นนักศึกษา โดยมีการลดราคา ถ้ามีอายุ 20 ปี ค่าบริการเพียง 80 บาท และถ้ามาในวันเกิดจะใช้บริการฟรี กลุ่มลูกค้าของฉกรรจ์ส่วนใหญ่จึงเป็นคนไทยที่มีรายได้ดี ส่วนมากเป็นคนไทยเชื้อสายจีน
ลูกค้าในฉกรรจ์นิยมใช้บริการในห้องอบเปียก หรือห้องไอน้ำ ซึ่งอยู่บริเวณชั้นหนึ่ง บริเวณนี้จะมีทางเชื่อมระหว่างห้องอบซ่าวน่ากับอ่างน้ำวน บริเวณอ่างน้ำวันจะมีระเบียงสำหรับนั่ง ผู้ที่มานั่งจะมองเห็นคนเดินผ่านไปผ่านมาและเห็นคนที่อยู่ในอ่างน้ำวนซึ่งเปลือยกาย แต่คนไทยไม่นิยมลงไปแช่ในอ่างนี้มากเท่าใด ลูกค้าคนไทยจะแออัดอยู่ในห้องอบไอน้ำ บางคนเดินเข้าเดินออกหลายรอบ ขณะที่อยู่ในห้องอบไอน้ำซึ่งมีความมืดสลัว แสงสว่างที่ส่องมาทางประตูกระจกมีเพียงเล็กน้อยพอทำให้ให้เห็นหน้าลางๆ ถ้าเดินเข้าไปในซอกหลืบด้านในซึ่งมีมุมมืดและมีม้านั่ง จะมองหน้าไม่เห็น เกย์ที่เข้ามาในห้องนี้ต้องการที่จะมีเพศสัมพันธ์กับคนที่หมายปอง ลูกค้าที่รูปร่างหน้าตาดีจะกลายเป็นที่สนใจของคนอื่นๆ แต่คนประเภทนี้ก็มีไม่มาก และไม่ชอบให้ใครมาลวนลาม
อีกบริเวณหนึ่งที่มีลูกค้าพอสมควรคือ ชั้น 3 บริเวณนี้เป็นห้องนอน มีแสงไฟสลัวๆ ภายในห้องจะมีเก้าที่เอนนอนได้ มีโทรทัศน์ที่เปิดภาพยนตร์แนวประโลมโลกของเกย์ เกย์ส่วนใหญ่จะเดินไปเดินมา ผ่านห้องต่างๆ ด้านในสุดจะเป็นห้องโถงมืด มีเบาะสำหรับนอน เกย์ที่นิยมจับคู่จะมาพรอดรักกันในห้องนี้ แต่เกย์บางคนก็ยืนอยู่บริเวณทางเดิน เพื่อรอคนที่ถูกใจ ถ้าได้คนถูกใจแล้วก็เข้าไปทำกิจกรรมในห้องนอน ประตูของห้องนอนมีช่องกระจกเล็กๆสามารถมองผ่านเข้าไปได้ ถ้าคนในห้องเปิดไฟก็สามารถเห็นกิจกรรมทุกอย่างในนั้น ลูกค้าส่วนใหญ่ของฉกรรจ์จะเป็นผู้ที่มีรายได้ดี มีการงานมั่นคง มีกิจการส่วนตัว คนกลุ่มนี้นิยมาพักผ่อนในช่วงสุดสัปดาห์ และรูปร่างของคนกลุ่มนี้ก็ค่อนข้างท่วม ตัวใหญ่ อายุประมาณ 25-35 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มทำงาน และกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ชาวต่างชาติจะมีเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ที่มาใช้บริการ
กรณีที่สาม เดอะบีช ซาวน่าราคาถูก
เดอะบีชเป็นซาวน่าชานเมืองที่ตั้งอยู่ในเขตพระโขนง ค่าบริการของเดอะบีชมีอัตราเดียวคือ 99 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ไม่แพงและเหมาะสำหรับลุกค้าชนชั้นแรงงานหรือมีรายได้น้อย อย่างไรก็ตาม ลูกค้าของเดอะบีชอาจมีหลายฐานะตั้งแต่นักศึกษาไปจนถึงเจ้าของธุรกิจ ลูกค้าของเดอะบีชจะเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตภาคตะวันออกของกรุงเทพฯ และมักจะมีภูมิลำเนาต่างจังหวัด ลูกค้าของเดอะบีชจึงต่างจากลูกค้าฉกรรจ์ อายุของลูกค้าเดอะบีชเฉลี่ยประมาณ 20-30 ปี บางส่วนยังไม่มีรายได้ของตัวเอง เช่นคนต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ หรือมารับจ้างในกรุงเทพฯ
การตกแต่งสถานที่ของเดอะบีชต่างไปจากบาบีลอนและฉกรรจ์ เดอะบีชดัดแปลงมาจากบ้านที่อยู่อาศัย บรรยายเหมือนอยู่บ้านและมีสระว่ายน้ำอยู่หลังบ้าน บริเวณชั้นล่างของบ้านเป็นห้องอาหาร ห้องล็อคเกอร์ ห้องคาราโอเกะ ห้องออกกำลังกาย ห้องอาบน้ำ บริวเณชั้นสองเป็นห้องนอนและลูกค้ามักจะนิยมมารวมตัวกันบนนี้เพื่อหาคู่นอน ห้องนอนมีสภาพเป็นห้องเล็กๆ กว้าง 1 เมตรยาวประมาณ 2 เมตร สภาพห้องเป็นการนำไม้กระดานมากั้น ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ ยกเว้นเบาะนั่งขนาดกว้างประมาณ 1 เมตร นอกตัวบ้าน บริเวณสวนจะมีห้องอบไอน้ำและห้องอบซาวน่า พร้อมสระว่ายน้ำและห้องอาบน้ำ ห้องอาบน้ำของเดอะบีชมีการโฆษณาว่าเป็นห้องอาบน้ำแบบไทยๆ กล่าวคือ เป็นการอาบน้ำจากโอ่งแวดล้อมด้วยสวนที่มีต้นไม้ ความหรูหราและอุปกรณ์ของตกแต่งของเดอะบีชค่อนข้างเก่าและใช้วัสดุที่มีราคาถูก บรรยากาศของเดอะบีชจึงเหมือนไปเที่ยวบังกะโลระดับสองดาว ด้วยเหตุผลนี้กลุ่มลูกค้ารายได้น้อยจึงนิยมมาใช้บริการที่นี่จำนวนมาก อาจกล่าวได้ว่าเดอะบีชจับกลุ่มลูกค้าเกย์ “ตลาดล่าง” ฉกรรจ์จับลูกค้าตลาดบน และบาบีลอนจับลูกค้าต่างชาติ
เอกลักษณ์ของดอะบีช ก็คือ ลูกค้าสามารถเดินพักผ่อนได้ทั่วบ้านพร้อมกับได้ยินเสียงเพลงจากลูกค้าคนอื่นที่กำลังร้องคาราโอเกะ พื้นฐานของลูกค้าเดอะบีชอาจสังเกตได้จากประเภทของเพลงที่ร้อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพลงลูกทุ่ง สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้าเดอะบีชมีความเป็นท้องถิ่น และมาจากสังคมเกษตรกรรม หรือมีรูปแบบการใช้ชีวิตที่ง่ายๆ ไม่ชอบความหรูหรา รูปร่างหน้าตาของลูกค้าจึงมีลักษณะเป็นไทยต่างจังหวัด ผิวสีน้ำตาล ไม่อ้วนเกินไปหรือผอมเกินไป เกย์ที่นิยมคู่ขาที่มีรูปร่างสมส่วนแบบไทยๆจึงนิยมมาใช้บริการเดอะบีช
สารพัดร่างในซาวน่า
ซาวน่าคือสถานที่รวมตัวของเกย์ที่นิยมไปหาคู่ ถึงแม้ว่าเกย์บางคนจะมีวัตถุประสงค์อื่นๆ แต่ซาวน่าก็ยังเป็นพื้นที่ลับเฉพาะของเกย์ที่เปิดโอกาสให้เกย์ปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศของตัวเอง ในเวลาเดียวกันซาวน่าก็ยังเป็นประจักษ์พยานของความหลากหลายของเรือนร่างและบุคลิภาพของเกย์ เกย์แต่ละคนจะมีวิธีการแสดงตัวตนผ่านเรือนร่างไม่เหมือนกัน จึงเป็นสิ่งที่น่าตั้งคำถามว่า เกย์ให้ความหมายต่อเรือนร่างอย่างไร
พฤติกรรมที่แสดงออกผ่านเรือนร่างชัดเจนมากในซาวน่า เกย์แต่ละคนจะมีสัดส่วนร่างกายไม่เหมือนกัน รูปร่างหน้าตา ริ้วรอยและผลเป็นบนร่างกาย บนใบหน้า ความเต่งตึง ความเหยี่ยวย่น ความแข็งแกร่ง ความอ่อนนุ่ม สีผิวเข้ม ขาว ซีด กล้ามเนื้อแบนราบ กล้ามเนื้อใหญ่โต ความอ้วน ความผอม การมีพุง การไม่มีพุง ขาสั้น ขาวยาว ไหล่กว้าง ไหล่แคบ รูปลักษณ์เหล่านี้จะได้รับการเปิดเผย เกย์แต่ละคนจะมีความมั่นใจในร่างของตัวเองไม่เท่ากัน บางคนที่มีรูปร่างดีจะแสดงความมั่นใจอย่างเต็มที่ เช่น เดินโชว์ตัว แต่เกย์ที่มีผิวหนังหยาบกร้าน มีแผลเป็น หรืออ้วนมากๆ อาจใช้ผ้าขนหนูมาปกปิดร่างกายเพราะไม่กล้าเปิดเผยข้อด้อยของตัวเอง เกย์บางคนอาจเสริมความงามและเสน่ห์ให้กับร่างกายด้วยการสวมสร้อยคอ หรือใส่ต่างหู เพื่อทำให้ร่างกายมีเครื่องประดับเพื่อเสริมบุคลิกภาพให้ดีขึ้น และอาจดึงดูดสายตาของคนอื่นมากขึ้น
การแสดงออกทางร่างกายในซาวน่า จะมาพร้อมกับพฤติกรรมเหล่านี้ คนที่มีรูปร่างอ้วนจะตระหนักว่าตนเองไม่เป็นที่หมายปองของใครๆ คนอ้วนส่วนใหญ่ต้องการจับคู่กับคนที่มีรูปร่างผอมและหน้าตาดี คนอ้วนจึงนิยมเดินตามคนหุ่นดี ไม่ว่าจะเป็นในห้องมืด ห้องอบไอน้ำ หรือซาวน่า แต่คนหุ่นดีก็จะหนีคนอ้วน บางครั้งคนอ้วนก็ต้องจับคู่กับคนอ้วนเพื่อระบายความใคร่ให้หมดไป ในกรณีของคนหุ่นดี ซึ่งมีร่างกายสมส่วน มีกล้ามเนื้อที่ผ่านการออกกำลัง ไม่มีหน้าท้อง คนหุ่นดีก็นิยมจับคู่กับคนหุ่นดี แต่คนหุ่นดีก็มักจะไม่เดินตามใครง่ายๆ ส่วนคนที่มีร่างกายผอมแห้งเหมือนคนเป็นโรค จะไม่ได้รับความสนใจจากคนอื่นๆ เพราะความผอมแห้งเป็นสัญลักษณ์ของโรคร้าย เช่น เอดส์
การชดเชยหรือทดแทนร่างกายที่อ้วนไป ผอมไป อาจมาจากหน้าตา ถ้าอ้วนแล้วหน้าตาดีอาจทำให้เกย์ผู้นั้นกลายเป็นที่สนใจของคนอื่น เช่นเดียวกันถ้าอ้วนแล้วหน้าตาไม่ดีก็ยิ่งทำให้คนอื่นออกห่าง เช่นเดียวกันท่าหุ่นดีแต่หน้าตาไม่ดีหรือหัวล้าน เกย์คนนั้นก็อาจไม่ได้รับความสนใจเท่ากับเกย์ที่หุ่นดีและหน้าตาดีด้วย การจัดลำดับช่วงชั้นร่างกายในซาวน่าจึงวัดจากหน้าตาเป็นอันดับแรก ในที่นี่ร่างกายแบบอุดมคติและได้รับการยกย่องมากที่สุดคือร่างที่สมส่วนมีกล้ามเนื้อแข็งแรง ไม่มีหน้าท้อง ส่วนร่างกายที่ได้รับการเหยียดหยามมากที่สุดคือร่างที่อ้วนเกินไปและผอมเกินไป ร่างกายที่จะได้รับการรังเกียจมากที่สุด จะเป็นร่างของคนอ้วน เตี้ย พุงพุ้ย ผิวดำ และมีหน้าตาน่าเกลียด
อย่างไรก็ตามการจัดลำดับช่วงชั้นเรือนร่างของเกย์ในซ่าวนาอาจจะผันแปรไปตามรสนิยมของเกย์แต่ละคน กล่าวคือ มาตรฐานร่างกายที่ดีในสายตาของเกย์แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน บางคนชอบคนอ้วน บางคนชอบคนผอม บางคนชอบคนผิวดเข้ม บางคนชอบคนผิวขาว ความชอบจึงมีเงื่อนไขต่างกัน เรือนร่างที่เป็นอุดมคติเช่นร่างกายของนายแบบหุ่นนักกีฬาอาจเป็นร่างในความฝัน เพราะบุคคลที่มีร่างกายแบบนี้หาได้ยากมากในซาวน่า เกย์แต่ละคนจะมีข้อบกพร่องในร่างกายมากน้อยต่างกันไป เช่น คนที่หุ่นดีอาจมีรูปร่างเล็กหรือเตี้ย หรือขาสั้น คนที่มีหน้าตาดีอาจมีพุง หรือคนที่ไม่มีพุงอาจมีแผลเป็นที่หลังหรือต้นขา เป็นต้น ความสมบูรณ์แบบในร่างกายจึงเป็นเรื่องในอุดมคติ
นอกจากร่างกายแล้ว สิ่งที่เกย์ให้ความสำคัญมากก็คือขนาดของอวัยวะเพศ หรือองคชาติ ในห้องมืด ห้องอบไอน้ำ หรือห้องซาวน่า เกย์จะมองไม่เห็นหน้ากัน ไม่รู้ว่าใครดำหรือขาว หน้าตาดีหรือน่าเกลียด เกย์ในห้องมืดจึงมองข้ามเรือนร่างไปและหันไปสนใจองคชาติแทน จะเห็นได้จากการเข้าไปจับองคชาติของคนอื่น เกย์ที่น่าตาไม่ดีส่วนใหญ่จะแอบซ่อนอยู่ในมุมมืดเพื่อรอให้ผู้อื่นมาจับองคชาติ หรือเป็นฝ่ายเข้าไปจับองคชาติของคนอื่น เกย์ประเภทนี้ได้แก่เกย์ที่มีรูปร่างอ้วน เมื่อเกิดการจับองคชาติ หรือ โลมไล้ร่างกายของคนอื่นสิ่งที่เกิดตามมาอาจเป็นการสำเร็จความใคร่ แต่บางคนก็ให้จับเล่นๆ โดยไม่ยอมให้มีการสำเร็จความใคร่ โดยปกติในมุมมืดของห้องอบไอน้ำจะมีการสำเร็จความใคร่อยู่บ่อยๆ และเจ้าหน้าที่ของซาวน่าก็จะต้องเข้าไปทำความสะอาดในห้องนี้เป็นระยะๆ
สังคมเกย์ในซาวน่ามักจะมีการจับกลุ่มพูดคุยและวิจารณ์ถึงรูปร่างหน้าตา เช่น สมหมาย(นามสมมุติ) จะเรียกเกย์อ้วนที่มีอายุมากว่า “ป้าอ้วน” เกย์ที่มีอายุมากจะได้ฉายาว่า “เจ้าป้า” “ย่าทวด” เกย์ที่มีร่างกายผอมแห้งจะได้รับฉายาว่า “เอเอ้” (หมายถึงเป็นโรคเอดส์) เกย์ที่หน้าตาดีแต่มีองคชาติสวยและใหญ่จะได้รับฉายาว่า “หน้าเน่าเป้าเลิศ” เกย์ที่ชอบมาซาวน่าบ่อยๆจะได้รับการกล่าวขานว่า “ศิษย์เก่า” การวิจารณ์รูปร่างหน้าตาเหล่านี้เป็นการจำแนกประเภทร่างกาย และมีน้ำเสียงแบบค่อนขอด และเหยียดหยาม
การเปิดเผยร่างกาย ทำให้เกิดการชี้วัดและตัดสิน เกย์ที่มีรูปร่างหน้าตาดีมักจะเลือกคนที่มีรูปร่างหน้าตาดีเหมือนกัน แต่ในบางกรณี ร่างกายอาจมิใช่สิ่งสำคัญ เกย์ที่มีรูปร่างอ้วนอาจจับคู่กันเอง ในกรณีหลังนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการได้ปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศ เกย์อ้วนจะช่วยกันสำเร็จความใคร่และการได้สัมผัสองคชาติของกันและกันก็อาจทำให้มีความสุขและมองข้ามข้อบกพร่องทางร่างกายไป สำหรับเกย์ที่มีรูปร่างดีจะให้ความสำคัญกับรูปร่าง สัดส่วนของร่างกาย รวมทั้งองคชาติไปพร้อมๆกัน อย่างไรก็ตาม ในบางกรณีเกย์ที่มีรูปร่างดีอาจต้องการจับคู่กับชาวต่างชาติซึ่งมีฐานะและอาชช่วยให้เกย์คนนั้นได้รับโอกาสทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น เกย์รูปร่างดีในบาบีลอนจะยอมมีเพศสัมพันธ์กับเกย์ต่างชาติที่มีอายุมาก ซึ่งอาจมีรูปร่างผอม อ้วน ผิวหนังเหี่ยวย่น มีรอยกระ หัวล้าน หรือ มีพุง ในกรณีนี้รูปร่างอาจมิใช่สิ่งสำคัญ แต่เงินเป็นสิ่งสำคัญกว่า ผู้เขียนสังเกตเห็นว่าเกย์ไทยที่มีรูปร่างดีที่จับคู่กับชาวต่างชาติที่มีอายุมากจะยังคงมีความสัมพันธ์กันต่อเนื่อง เมื่อออกมาจากซาวน่าแล้ว คนทั้งคู่ยังใช้เวลาด้วยกันในโรงแรม ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ร้านอาหาร ดิสโก้เธค หรือร้านกาแฟ ทั้งนี้ผู้ที่เป็นฝ่ายออกค่าใช้จ่ายก็คือเกย์ต่างชาติ
จะเห็นว่า รูปร่างที่อัปลักษณ์ถูกชดเชยด้วยเงินตรา เกย์ต่างชาติที่มีอายุมากจึงนิยมมาใช้บริการที่บาบีลอน เพราะจะมีเกย์จำนวนมากพร้อมที่จะมีเพศสัมพันธ์ด้วยเพื่อแลกเปลี่ยนกับโอกาสทางเศรษฐกิจ เกย์ที่มีรูปร่างดีที่ยอมมีเพศสัมพันธ์กับเกย์ที่มีรูปร่างอัปลักษณ์เพื่อหวังเงินทองหรือสิ่งของ คือหลักฐานที่บ่งบอกว่า “ร่างกาย” มีไว้แลกเปลี่ยน ร่างกายจึงเป็นสินค้า กรณีนี้เห็นได้ชัดเจนในบาร์เกย์ที่มีเกย์ต่างชาติไปซื้อบริการทางเพศจากเด็กหนุ่มหน้าตาดีและรูปร่างดี เพื่อแลกกับความสุขทางเพศ ในกรณีซาวน่าอาจไม่ต่างกับบาร์เกย์ เพราะมีเกย์ประเภทหนึ่งที่เข้ามาใช้บริการซาวน่าและจับคู่กับต่างชาติเพื่อขายเรือนร่างแบบแอบแฝง
นอกจากเรือนร่างจะมีไว้แลกเปลี่ยนแล้ว เรือนร่างยังมีไว้อวดอ้างด้วย เกย์รูปร่างดีบางคนไปซาวน่าแต่อาจไม่มีเพศสัมพันธ์กับใคร เพราะต้องการโชว์สัดส่วนร่างกายของตัวเองเพียงอย่างเดียว เกย์ประเภทนี้จะอยู่ในห้องฟิตเนส อาจเดินไปในห้องอบไอน้ำบ้างแต่จะอยู่ไม่นาน เดินไปเดินมาไม่อยู่กับที่ อาจมีคนอื่นเดินตามเขาแต่เขาจะไม่ยอมจับคู่กับใคร ร่างกายจึงมีไว้โอ้อวด ร่างประเภทนี้ต้องผ่านการจัดระเบียบไม่ว่าจะเป็นออกกำลัง บริหารกล้ามเนื้อ ว่ายน้ำ ยกน้ำหนัก และวิ่ง เพื่อทำให้ร่างกายปราศจากไขมัน ไม่มีหน้าท้อง มีกล้ามอก และกล้ามแขนใหญ่ ผู้เขียนสังเกตว่าเกย์ที่มาจากเอเชีย เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวัน มักนิยมเล่นฟิตเนส ชอบบริหารร่างกาย ร่างกายของเกย์ในกลุ่มนี้จะมีลักษณะเป็น “กล้ามปู” ซึ่งเป็นคำที่เกย์ใช้เรียกคนที่มีกล้ามแขนและอกใหญ่ กล้ามลักษณะนี้จะไม่เหมือนนักเพาะกาย แต่มีลักษณะอวบใหญ่แบบคนอ้วน เพราะอาจกินยาที่ช่วยเร่งกล้ามเนื้อให้ใหญ่ ซึ่งมีผลทำให้ร่างกายบวม อาจมีพุงและมีไข้มันบริเวณก้นและต้นขามาก รูปร่างของเกย์ที่มีเชื้อสายจีนจึงมีกล้ามเนื้ออวบ ทั้งนี้อาจมาจากลักษณะพันธุกรรมด้วย
ส่วนเกย์ชาวตะวันตกซึ่งบริหารร่างกายจะมีไขมันน้อยกว่า กล้ามจะมีลักษณะแข็งเหมือนนักเพาะกาย มีมัดกล้ามที่ท้อง และต้นขา เนื่องจากโครงสร้างร่างกายของเกย์ตะวันตกจะมีลักษณะใหญ่อยู่แล้วทำให้กล้ามเนื้อใหญ่ตามไปด้วย ผิวหนังของเกย์ตะวันตกจะต่างไปจากเกย์เอเชีย กล่าวคือ เกย์ตะวันตกจะมีผิวหยาบ รูปขุมขนใหญ่ มีขนมากบริเวณหน้าอก หลัง แขนและขา ในขณะที่เกย์เอเชียจะมีผิวละเอียดและไม่มีขนมาก ส่วนเกย์ไทยจะมีรูปร่างเล็ก ถ้าบริหารร่างกายจะมีกล้ามเนื้อไม่ใหญ่ ตัวจะไม่หนาเท่าเกย์เชื้อสายจีน ทั้งนี้อาจมาจากอาหารที่บริโภคต่างกัน
ทรงผมเกย์ก็เป็นสิ่งสำคัญ เกย์จากย่านเอเชียนิยมผมสั้น หรือ บางคนอาจไว้สกินเฮด ส่วนเกย์ไทย ถ้าเป็นวัยรุ่นอาจนิยมไว้ผมยาว วัยทำงานอาจไว้รองทรง ถ้าเป็นคนที่เล่นฟิตเนสอาจไว้ผมสั้น บางคนอาจทำสีผม เปลี่ยนสีดำเป็นสีน้ำตาล สีทอง หรือสีบรอนซ์
อาจกล่าวได้ว่า เราสามารถพบเรือนร่างแบบต่างๆมากมายในซาวน่า ตั้งแต่เกย์ที่มีรูปร่างดีไปจนถึงรูปร่างไม่สมส่วน (อ้วนมาก ผอมมาก) ซาวน่าจึงเป็นสถานที่ของการเปิดเผย “ร่าง” ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ “ร่างกาย” ในซาวน่าเกย์จะถูกใช้เป็นสินค้า เป็นวัตถุที่มีไว้อวด มีไว้ปกปิด และอำพราง ความรู้สึกภูมิใจและอับอายต่อเรือนร่างของเกย์แต่ละคนจะมีไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทัศนคติและจุดประสงค์ของการไปใช้ซาวน่า อย่างไรก็ตามยังมีคำถามว่าการเปิดเผยร่างกายของเกย์สะท้อนให้เราเข้าใจอัตลักษณ์และชีวิตทางเพศของเกย์ไทยอย่างไร อะไรคือความหมายของการมีร่าง ซาวน่าทำให้ร่างกายเกย์กลายเป็นสิ่งใดบ้าง วาทกรรมกระแสหลักเกี่ยวกับ “ร่าง” ในสังคมเกย์คืออะไรและเป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับ “ร่าง” ที่พบเห็นในซาวน่าหรือไม่
ร่างที่ถูกจองจำบนพื้นที่ “จินตนาการ”
บทความเรื่องนี้ขอนำแนวคิดเกี่ยวกับเรื่อง “พื้นที่” ของเลอแฟบร์ (Lefebvre) มาอธิบาย สาเหตุที่เลือกแนวคิดของเลอแฟบร์เนื่องจาก เขาพยายามชี้ให้เห็นว่าการแสดงออกทางเพศของมนุษย์เกี่ยวข้องกับการใช้พื้นที่ ผู้เขียนจึงอยากทดลองนำความคิดนี้มีอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับการใช้พื้นที่ซาวน่าของเกย์ ตลอดจนการเปิดเผยเรือนร่างของเกย์บนพื้นที่ซาวน่าซึ่งถือเป็นพื้นที่เฉพาะ และเป็นที่ลับตาคน เพื่อจะดูว่าความคิดของเลอแฟบร์นำมาใช้อธิบายซาวน่าเกย์ได้จริงหรือไม่ ถ้าความคิดของเขาอธิบายได้ จะทำให้เราเข้าใจชีวิตของเกย์ในแง่มุมใดบ้าง แต่ถ้าใช้ไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในซาวน่าเกย์ก็จะเป็นข้อมูลหักล้างความคิดของเลอแฟบร์ โดยเฉพาะความคิดเรื่องการสืบเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ซึ่งเลอแฟบร์อธิบายว่าการแสดงออกทางเพศจะเกี่ยวกับการสืบพันธุ์ เพราะกิจกรรมทางเพศมักจะเกิดขึ้นในที่ลับตาหรือเป็นที่ส่วนตัว เช่น ในห้องนอนที่ปกปิดมิดชิด เลอแฟบร์มองว่ากิจกรรมทางเพศเป็นการตอบสนองระบบทุนนิยมที่ทำให้มีการเพิ่มประชากรเพื่อมาเป็นแรงงานในการผลิต
แต่เลอแฟบร์เชื่อว่าการแสดงออกทางเพศที่ “แท้จริง” เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับระบบทุนนิยม ระบบทุนนิยมในความคิดของเลอแฟบร์หมายถึงความเป็นสมัยใหม่ หรือเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ ซึ่งต้องอาศัย “พื้นที่” ในการแสดงออก พื้นที่จะเป็นตัวบ่งบอกว่าความทันสมัยคืออะไร อยู่ที่ไหน และหมายถึงอะไร ดังนั้น “พื้นที่” จะมีตัวตนก็ต่อเมื่ออธิบายว่าทุนนิยมคืออะไร ชีวิตสมัยใหม่คืออะไร เลอแฟบร์เรียกพื้นที่แบบนี้ว่า “พื้นที่แห่งจินตนาการ” (abstract space) หมายถึงพื้นที่ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยความคิดทุนนิยม ทุนนิยมสร้างความหมายให้กับพื้นที่อย่างไร พื้นที่ก็จะมีค่าแบบนั้น พื้นที่แห่งจินตนาการจะถูกสร้างให้เป็นจริงได้โดยสถาปนิก นักเศรษฐศาสตร์ นักวางผังเมือง ขุนนาง ข้าราชการ และผู้เชี่ยวชาญสาขาต่างๆ พื้นที่ที่ถูกสร้างขึ้นนี้อยู่ตรงข้ามกับพื้นที่ตาม “ธรรมชาติ” กล่าวคือพื้นที่ธรรมชาติจะเป็นศัตรูกับพื้นที่จินตนาการ เลอแฟบร์เชื่อว่าพื้นที่ธรรมชาติได้แก่ เรือนร่างของมนุษย์ซึ่งไม่ได้ถูกสร้างจากสถาปนิก ร่างกายของมนุษย์จะแตกต่างจากอาคาร ตึก และสิ่งก่อสร้างต่างๆ ร่างกายเป็นตัวแทนของ “ธรรมชาติ” ส่วนตึกหรืออาคารเป็นตัวแทนของ “จินตนาการ” ซึ่งถูกควบคุมด้วยระบบทุนนิยม เลอแฟบร์เชื่อว่าอาคารและสิ่งก่อสร้างปฏิเสธสิ่งที่เป็น “ธรรมชาติ” เช่น ปฏิเสธความเป็นเพศของมนุษย์ แต่สิ่งที่สิ่งก่อสร้างยอมรับก็คือ “ความหมาย” ดังนั้นอาคารสถานที่ต่างๆจะต้องอาศัย “ธรรมชาติ” ในการสร้างความหมาย เช่น ความหมายของผู้ชาย ผู้หญิง การเป็นพ่อ เป็นแม่ ครอบครัว และเครือญาติ อาจกล่าวได้ว่าร่างกายของมนุษย์จะไม่มีค่าอะไร จนกระทั่งถูกสร้างความหมายเมื่อไปปรากฏอยู่ในอาคารสถานที่ต่างๆ
แต่อาคารสถานที่ซึ่งเป็นพื้นที่แห่ง “จินตนาการ” นั้น กำลังปกปิดซ่อนเร้นบางสิ่งบางอย่าง กล่าวคือ พื้นที่แห่งจินตนาการคือพื้นที่ของระบบทุนนิยมซึ่งประกอบด้วยวิธีคิดแบบเหตุผลและการแสวงหาสิ่งที่สมบูรณ์แบบเพียงหนึ่งเดียว เช่น สิ่งที่ดีที่สุดต้องมีเพียงแบบเดียว พื้นที่แบบนี้จะถูกควบคุมและจัดระเบียบโดยผู้รู้และนักคิดที่มีอำนาจทางสังคม คนประเภทนี้จะแสดงอำนาจของตนผ่านการสร้างความหมายบนพื้นที่ ฉะนั้น พื้นที่ของอาคารและสิ่งปลูกสร้างต่างๆจึงปราศจากอารมณ์ความรู้สึก เนื่องจากวิธีคิดแบบทุนนิยมต้องการจะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้อยู่ภายใต้ระเบียบเดียวกัน ดังนั้นวิธีคิดที่แปลกแยกไปจากระเบียบก็จะถูกตัดทิ้งไป ซึ่งความคิดที่สวนทางกับทุนนิยมก็มักจะเกิดขึ้นกับการแสดงอารมณ์ความรู้สึกที่ไร้กฎเกณฑ์บังคับ ในความคิดของเลอแฟบร์เชื่อว่าอาคารและสิ่งปลูกสร้างทั้งหลายล้วนเกิดจากระเบียบ ดังนั้น เมื่อร่างกายของมนุษย์เข้าไปอยู่ในอาคารและสิ่งปลูกสร้าง ก็เท่ากับว่า ร่างกายกำลังถูกจองจำอยู่ในกรงขัง ความหมายของการเป็นชายหญิงและเพศสภาพก็คือภาพลักษณ์ของการจองจำนั่นเอง
การแสดงออกทางเพศในพื้นที่จินตนาการของทุนนิยม จึงมิใช่การแสดงออกอย่างมีเสรีภาพ หรือมิใช่การแสดงออกตามธรรมชาติ หากแต่เป็นการแสดงออกที่ถูกควบคุมและถูกกำหนดมาจากบางสิ่งบางอย่าง เลอแฟบร์อธิบายว่าการแสดงออกทางร่างกายของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว กิริยาท่าทาง การลุกนั่ง การเดิน การยืน การแสดงอาการต่างๆล้วนเป็นการแสดงออกทางสังคมที่เกิดขึ้นบนพื้นที่เฉพาะ ร่างกายของมนุษย์จึงถูกใช้เพื่อสร้างความหมายบางอย่าง เช่น การสวมถุงน่อง การสวมยกทรง หรือการแต่งหน้า เป็นต้น การกระทำต่อร่างกายในลักษณะนี้คือการสร้างความหมายว่าร่างนั้นหมายถึงอะไร อาจหมายถึงความเซ็กซี่ หรืออ่อนหวาน ร่างแบบนี้ล้วนมีบริบททางพื้นที่มารองรับ เช่นการสวมชุดว่ายน้ำจะต้องเกิดขึ้นที่สระว่ายน้ำ หรือ ชายทะเล หรือ ห้องที่ปิดมิดชิด เป็นต้น
เลอแฟบร์ชี้ให้เห็นว่าการกระตุ้นเร้าทางเพศจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมองดูภาพเรือนร่าง คำถามคือ พื้นที่สัมพันธ์อย่างไรกับภาพของเรือนร่าง เลอแฟบร์พยายามอธิบายว่าพื้นที่เปรียบเสมือนสิ่งห่อหุ้มร่างและวัตถุต่างๆ เมื่อเรามองเห็นร่าง เรามิได้มองเห็นเนื้อหนังมังสา แต่เรามองเห็นความหมายของร่าง เช่น ความเซ็กซี่ ความน่าเกลียด ความสวย ความหล่อ เป็นต้น ดังนั้น พื้นที่จึงเปรียบเสมือนส่วนต่อเติมความหมายของสิ่งต่างๆให้สมบูรณ์ขึ้น กล่าวคือเมื่อเรือนร่างของคนๆหนึ่งปรากฏอยู่ในห้องน้ำ ร่างนั้นจะมีความหมายแบบหนึ่ง และเราก็จะเห็นความหมายของร่างในห้องน้ำ ในทำนองเดียวกัน ถ้าร่างไปอยู่ในสนามหญ้า เราก็จะเห็นอีกความหมายหนึ่งในสังคมทุนนิยม ร่างกายจะถูกให้ความหมายบนพื้นที่แบบต่างๆ และ “ร่าง” ที่เลอแฟบร์ต้องการเน้นย้ำโดยเฉพาะคือ “ร่างทางเพศ”
ไมเคิล พี บราวน์ (2000) ได้นำแนวคิดของเลอแฟบร์มาศึกษาพื้นที่ของชายรักชายในเขตเมือง เพื่อที่จะทำความเข้าใจความลับและความปรารถนาที่ซ่อนอยู่ในพื้นที่ของเกย์ในเขตเมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ บราวน์ได้ตั้งคำถาม 3 ข้อ เพื่อที่จะพิสูจน์แนวคิดของเลอแฟบร์ ได้แก่ หนึ่งถามว่าระหว่างพื้นที่จินตนาการและพื้นที่ทางเพศมีความตึงเครียดอะไรเกิดขึ้น สอง ความสัมพันธ์และการแสดงออกทางเพศเกี่ยวข้องกับการใช้พื้นที่เมืองอย่างไร และ สาม ร่างกายของมนุษย์ถูกทำให้มีความหมายบางอย่างในพื้นที่แห่งกามารมณ์ได้อย่างไร บราวน์ได้ศึกษาการวางผังเมืองของไครสต์เชิร์ช โดยดูความคิดของคน 3 กลุ่มคือ นักวางผังเมือง นักท่องเที่ยว และนักทำแผนที่ คนทั้งสามกลุ่มนี้มองเห็นพื้นที่กามารมณ์ต่างกัน กล่าวคือ นักวางผังเมืองจะไม่สนใจพื้นที่กามารมณ์ แต่จะสนใจพื้นที่ราชการและหน่วยงานต่างๆ บราวน์กล่าวว่านักวางผังเมืองพยายามปกปิดซ่อนเร้นพื้นที่กามารมณ์และพูดถึงแต่พื้นที่การค้า ธุรกิจ และสถานที่สำคัญทางศาสนา แต่คนที่อาศัยอยู่ในเมืองต่างรู้ว่ายังมีพื้นที่กามารมณ์เกิดขึ้นทั่วไปในย่านการค้า นักท่องเที่ยวล้วนสนใจพื้นที่กามารมณ์ซึ่งเป็นแหล่งเริงรมย์และมีเงินสะพัดมากมาย
บราวน์กล่าวว่า ในเมืองไครสต์เชิร์ช ซ่องโสเภณีจะถูกแปรสภาพเป็นสถานบำบัดสุขภาพ เช่นโรงนวดซาวน่า หรือห้องอาบน้ำ ซึ่งมีทั้งประเภทที่ให้บริการแก่ผู้ชายและเกย์ ในส่วนของโรงนวดสำหรับผู้ชายจะมีการติดป้ายโฆษณาตามถนน ภาพโฆษณาจะเป็นรูปผู้หญิงที่เซ็กซี่ เช่นมีเต้านมใหญ่ เรือนร่างของผู้หญิงจะถูกใช้เพื่อความหมายของกามารมณ์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือร่างของผู้หญิงถูกทำให้เป็นสินค้า แรงแบบนี้จะถูกเปิดเผยในที่สาธารณะ ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์แบบรักต่างเพศ บราวน์กล่าวต่อไปว่าพื้นที่เมืองมิได้มีแต่ความสัมพันธ์ของรักต่างเพศเท่านั้น แต่ยังมีพื้นที่ของบาร์เกย์ และสถานที่พบปะของชายรักชายเป็นส่วนหนึ่งของเมืองด้วย และบางทีบาร์เกย์กับบาร์ผู้หญิงอาจอยู่บนถนนสายเดียวกัน
บราวน์ตั้งข้อสังเกตว่าพื้นที่ของเกย์ถูกปกปิด ไม่มีการโฆษณาเหมือนบาร์ผู้หญิง ในทางตรงกันข้ามพื้นที่ของเกย์เป็นสิ่งผิดกฎหมาย ผู้ที่เปิดกิจการบาร์เกย์อาจถูกจับและจองจำเป็นเวลา 10 ปี แต่ประเทศนิวซีแลนด์ได้แก้ไขกฎหมายใหม่ในปี ค .ศ. 1985 ทำให้กิจการบาร์เกย์ถูกกฎหมาย บาร์เกย์หลายแห่งจึงเปิดกิจการอย่างเปิดเผย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน สถานที่สำหรับเกย์ในเมืองไครสต์เชิร์ชก็ยังถูกแอบซ่อน เจ้าของบาร์เกย์ทั้งหลายจะไม่ทำป้ายใหญ่โต และจะเลือกตั้งบาร์เกย์ในมุมตึกหรือที่ลับตาคน บราวน์อธิบายว่า “การปกปิดตัวเอง” ของบาร์เกย์ หมายถึงการไม่ยอมให้สังคมรับรู้ว่าสถานที่นั้นคืออะไรเพื่อที่จะทำให้ตนเองดำรงอยู่ในพื้นที่ของรักต่างเพศได้ เพราะการรู้ว่าสถานที่แห่งนี้คืออะไร หรือหมายถึงอะไรเป็นวิธีการแสวงหาความจริงที่เกิดจากการมอง กล่าวคือ “การมองเห็น” เท่ากับการรู้ว่าพื้นที่นี้คืออะไร ซึ่งจะทำได้ในสังคมของรักต่างเพศเท่านั้น ฉะนั้นบาร์เกย์จึงต้องเลือกที่จะ “มองไม่เห็น” เพื่อที่จะทำกิจกรรมทางเพศได้ปลอดภัย
จากการศึกษาของบราวน์พบว่าแนวของเลอแฟบร์อาจใช้ได้กับพื้นที่ของรักต่างเพศ แต่เมื่อนำมาอธิบายพื้นที่ของเกย์ที่ถูกปกปิด อาจไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด เนื่องจากร่างกายของเกย์จะไม่ถูกเปิดเผยเหมือนร่างของผู้หญิง แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ร่างของเกย์และร่างของผู้หญิงจะถูกนำมาเป็นสินค้า บราวน์กล่าวว่าการเปิดเผยบาร์เกย์อาจขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมทางสังคม ในบางเมือง บาร์เกย์อาจเปิดเผย แต่บางเมืองอาจปกปิดเพราะคนในเมืองนั้นมีความรู้สึกไม่ชอบเกย์ อย่างไรก็ตาม พื้นที่ของเกย์ในสังคมรักต่างเพศอาจมิได้ถูกควบคุมในความหมายของการเป็น “สิ่งต้องห้าม” กล่าวคือการทำความเข้าใจพื้นที่ของเกย์ ไม่อาจเข้าใจได้จากกฎระเบียบของรักต่างเพศเพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องเข้าใจด้วยวิธีคิดของสังคมเกย์เอง บราวน์กล่าวว่าพื้นที่บาร์หรือซาวน่าเกย์เกิดจากวิธีคิดของทุนนิยมเช่นเดียวกับบาร์ผู้หญิง และพื้นที่ทั้งสองแห่งก็มีกิจกรรมทางเพศเกิดขึ้นเหมือนกัน แต่บาร์เกย์สำแดงตัวเองให้สังคมรับรู้ด้วยการปกปิด “อารมณ์แบบเกย์” เอาไว้ คนที่เดินผ่านไปผ่านมาจะไม่รู้ว่าอาคารนี้ ห้องนี้ หรือสถานที่นี้มีไว้เพื่ออะไร พื้นที่ของเกย์จึงมีอยู่ด้วยความไม่มี
หากนำความคิดของเลอแฟบร์มาอธิบายก็จะพบว่า พื้นที่เกย์อาจเป็นพื้นที่จินตนาการแบบหนึ่งที่มีร่างกายของมนุษย์ซึ่งนิยามตัวเองว่าเป็นเกย์เข้าไปอยู่ในสถานที่นั้น บาร์เกย์หรือซาวน่าเกย์จึงเป็นสิ่งห่อหุ้มให้ร่างของบุคคลที่เป็นเกย์มีความหมายขึ้นมา อย่างไรก็ตาม การนิยามตัวเองของเกย์ในซาวน่าอาจเป็นสิ่งที่เลอแฟบร์ให้ความสนใจน้อยกว่าเรื่องอิทธิพลของระบบทุนนิยมที่เข้ามาควบคุมและจัดระเบียบการใช้พื้นที่ทางสังคม การนิยามตัวเอง และการแสดงออกทางเพศของเกย์ในซาวน่า อาจทำให้เรามองเห็นอิทธิพลของทุนนิยมบางส่วน แต่คำถามคือ เกย์ที่เข้าไปใช้ซาวน่าจะตกเป็นทาสทุนนิยมเสมอไปหรือไม่ เกย์มีวิธีการโต้ตอบกับความหมายของทุนนิยมอย่างไร คำถามเหล่านี้อาจท้าทายความคิดของเลอแฟบร์ เพื่อที่จะให้เรามองเห็นตัวตนของเกย์จากประสบการณ์ของพวกเขา มากกว่าจะมองเรื่องพื้นที่เพียงอย่างเดียว
การเผยเรือนร่างของเกย์ในซาวน่า ในมุมมองของเลอแฟบร์อาจอธิบายได้ว่าร่างของเกย์กำลังถูกให้ความหมายบางอย่าง เช่น การเปลือยกายอาจหมายถึงความเซ็กซี่ ความเย้ายวน หรือ ความสวยงาม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าร่างนั้นสมบูรณ์แบบตามมาตรฐานแค่ไหน ถ้าร่างมีกล้ามเนื้อสมส่วน ไม่มีไขมันส่วนเกิน ดูแข็งแรงมีสุขภาพดี ร่างนั้นก็จะถูกมองว่าสวย แต่ถ้าร่างอ้วนเกินไปหรือผอมเกินไป ก็จะถูกมองว่าน่าเกลียด อย่างไรก็ตามการอธิบายแบบนี้อาจเป็นสูตรสำเร็จ เพราะมาตรฐานความสวย หรือมาตรฐานความหล่อของเกย์แต่ละคนมีไม่เท่ากัน ในประเด็นนี้อาจโต้แย้งกับความคิดของเลอแฟบร์ได้ว่า ความหมายของเกย์ในพื้นที่ซาวน่า มิได้มีเพียงมาตรฐานเดียว เกย์แต่ละคนที่อยู่ในซาวน่าย่อมมีการนิยามตัวเองต่างกัน มีร่างกายที่ต่างกัน และมีรสนิยมทางเพศไม่เหมือนกัน พื้นที่ซาวน่าจึงไม่อาจเหมารวมการแสดงตัวตนของเกย์ได้ทั้งหมด ในแง่นี้ ซาวน่าจึงมิใช่พื้นที่จินตนาการของทุนนิยมหรือทำให้เกย์เป็นสินค้าเพียงอย่างเดียว หากแต่ซาวน่ายังทำให้ความหมายของสินค้า (ร่างของเกย์) มีความคลุมเคลือ และยากที่จะแบ่งแยกว่าแค่ไหนคือสินค้า และแค่ไหนคือเรือนร่างตามธรรมชาติ และยังทำให้อุดมคติแบบทุนนิยมมีค่าต่างออกไป โดยมิได้มุ่งสู่สิ่งที่สมบูรณ์แบบที่สุด แต่นำไปสู่สิ่งที่มีความขัดแย้งและไม่มีความมั่นคง
ร่างที่ลางเลือน
การทำความเข้าใจตัวตนของเกย์ไทยในซาวน่า ไม่อาจเข้าใจได้จากความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่และการแสดงออกทางเพศ หรือแนวคิดทางจิตวิทยาเพียงอย่างเดียว ความพึงพอใจ หรือรังเกียจเรือนร่างมิใช่การแสวงหาสิ่งที่ขาดหาย หรือเติมเต็มจินตนาการ เกย์ที่เข้าไปในซาวน่าไม่ใช่แค่เพียงการไประบายอารมณ์ทางเพศ หรือหาคนรัก แต่ยังมีการให้คุณค่าและความหมายแก่ตัวเองด้วย สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นว่า “ร่างกาย” ของเกย์ได้ท้าทายให้เราคิดใหม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่และการกระทำทางเพศ หากดูผิวเผิน ซาวน่าคือตัวแทนของระบบทุนนิยม เกย์ต้องจ่ายเงินเพื่อที่จะเข้าไปแสวงหาความสุขทางเพศภายในนั้น และในเวลาเดียวกันเกย์แต่ละคนก็เป็นสินค้าให้แก่กัน ต่างคนต่างเลือกที่จะเสพสมซึ่งกันและกัน ตามความพอใจของกันและกัน เรือนร่างของแต่ละคนกลายเป็นเป้าหมายเพื่อการสำเร็จความใคร่ เกย์จะมองเห็นคนอื่นเป็นวัตถุที่สนองตอบอารมณ์ทางเพศของตัวเอง ซึ่งเท่ากับว่าเกย์ไม่ได้มองเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่มีอยู่ในเพื่อนคนอื่นที่อยู่ในซาวน่า แต่การอธิบายเช่นนี้ ไม่ได้ช่วยให้เราเข้าใจชีวิตของเกย์
ในทางกลับกัน ซาวน่าอาจท้าทายวิธีคิดแบบเดิมๆที่สังคมมุ่งประณามทุนนิยม ซาวน่ามิได้ทำให้เกย์กลายเป็นสินค้าทางเพศ หากแต่ทำให้การกลายเป็น “สินค้า” มีความหมายใหม่ หรือมีความหมายต่างไปจากเดิม ความหมายนี้มิใช่ ความเซ็กซี่ หรือ ความน่าเกลียด แต่หมายถึงความคลุมเคลือของสิ่งที่เรียกว่า “เซ็กซี่” “สวย” “หล่อ” “แมน” “น่าเกลียด” “ทุเรศ” “อัปลักษณ์” และอื่นๆอีกมากมาย ร่างของเกย์ในซาวน่าจะไม่ถูกมองว่าเซ็กซี่ แต่จะกลายเป็นเซ็กซี่ในประสบการณ์ชีวิตของคนๆหนึ่ง เช่น เซ็กซี่แต่อ้วน เซ็กซี่แต่ก้าวร้าว เซ็กซี่แต่โง่ เซ็กซี่แต่ไม่หล่อ เป็นต้น ในแง่นี้ทำให้คำอธิบายของเลอแฟบร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการแสดงออกทางเพศในพื้นที่ทางสังคมนั้นจะถูกกำหนดและควบคุมจากระบบทุนนิยม เพราะปัจเจกสามารถรื้อทำลายนิยามของการกระทำของตัวเองได้ตลอดเวลา
เมื่อความน่าเกลียด หรือความเซ็กซี่ ไม่มีแบบแผนตายตัวแบบเดิม เราก็จะพบว่าเกย์ที่เข้าไปใช้ซาวน่าจะจับคู่กับใครก็ได้ที่พร้อมจะมีกิจกรรมทางเพศร่วมกัน ถ้าเป็นเช่นนั้น “ร่างกาย” ของเกย์จะมีความหมายอะไร ผู้เขียนพบว่า เกย์ที่มีรูปร่างดี หน้าตาหล่อบางคนอาจจับคู่กับเกย์ที่มีรูปร่างอ้วนและมีอายุมาก บางคนอาจจับคู่กับผู้ที่มีหน้าตาดีเหมือนกัน บางคนอาจเลือกคนที่พูดคุยกันรู้เรื่อง แต่บางคนก็ไม่เลือกอะไรเลยและพร้อมจะมีอะไรกับใครก็ได้ การจับคู่แบบผิดฝาผิดตัว การเปลี่ยนคู่แบบต่อหน้าต่อตา หรือ ไม่จับคู่เลย เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ และเข้าใจไม่ได้ด้วยวิธีคิดแบบเหตุผล สิ่งเหล่านี้บอกให้ทราบว่าความหมายของความเซ็กซี่หรือน่าเกลียด ความหมายของการสำเร็จความใคร่ ความหมายของเพื่อน การเป็นคู่ขา และการเป็นคนรักมีความคลุมเคลือมาก การจับคู่ของเกย์ในซาวน่าเป็นมากกว่ารสนิยม หรือความพึงพอใจ ในบางกรณีอาจเกิดจากความสนุก ความตื่นเต้น ความอยากลอง ความแปลกใหม่ หรือความท้าทาย คุณค่าของการจับคู่ในแบบที่เรียกว่า “ถูกคู่” “ถูกตัว” มีเห็นไม่มากนักในซาวน่า แต่เราจะเห็นการจับคู่แบบผิดผาผิดตัวอยู่บ่อยๆ
เกย์ที่มีรูปร่างดี หรือรูปร่างอ้วน อาจมีคุณค่าไม่ต่างกันเมื่อเข้าไปอยู่ในซาวน่า ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นเมื่อคนอ้วนจับคู่กับคนหุ่นดี คนหล่อจับคู่กับคนขี้เหร่ คนผิวขาวจับคู่กับคนผิวดำ คนแก่จับคู่กับคนหนุ่ม เพราะการจับคู่อาจนำไปสู่อะไรก็ได้ เช่น การร่วมรัก การสำเร็จความใคร่ ความรัก ความหลง ความหลอกลวง การโกหก การสารภาพ การเฉยเมย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ท้าทายความคิดแบบที่ต้องการได้สิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด พื้นที่ของซาวน่ามิได้ทำให้เกิดสิ่งที่สมบูรณ์ที่สุด แต่ทำให้ความไม่สมบูรณ์ หรือความขาดตกบกพร่องได้แสดงตัวออกมา ซาวน่าจึงเป็นพื้นที่ที่เปิดเผยให้เห็นด้านมืดที่ระบบทุนนิยมปฏิเสธ พื้นที่แห่งจินตนาการที่ปรากฏอยู่บนซาวน่าจึงมิใช่สิ่งที่สวยงาม แต่เป็นสิ่งที่น่ากระอักกระอ่วนใจ และน่ารำคาญใจ ซาวน่ามิใช่พื้นที่ที่ถูกควบคุมด้วยศีลธรรมและวิธีคิดของรักต่างเพศ หากแต่ถูกควบคุมด้วยความอ่อนแอของความหมายของรักต่างเพศ การมีอยู่ของซาวน่าเกย์ มิได้มีอยู่ด้วยการปกปิดซ่อนเร้นหรือหวาดกลัว แต่มีอยู่ด้วยความเปราะบางของพลังอำนาจที่สถาบันรักต่างเพศเคยเชิดชู
เรือนร่างของเกย์ในซาวน่า มิได้มีความหมายแค่เรื่องเซ็ก แต่ยังหมายถึงการอยู่ร่วมกันของสิ่งที่แตกต่าง กล่าวคือ เรือนร่างที่สวยงามมิได้มีค่ามากกว่าเรือนร่างที่น่าเกลียด แต่ร่างที่สวยงามเป็นเพียง “ร่าง” ชนิดหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นกับใครก็ได้ หากเปรียบเป็นเสื้อ ร่างที่สวยอาจเป็นเสื้อสีขาว และร่างที่น่าเกลียดอาจเป็นเสื้อสีดำซึ่งเสื้อทั้งสองตัวนี้ถูกแขวนอยู่ในตู้เดียวกัน ร่างที่สวยและร่างที่น่าเกลียดสามารถปรกฏอยู่บนพื้นที่เดียวกันได้ นอกจากนั้น ความหมายของความสวย หรือความน่าเกลียดก็มิใช่สิ่งที่คงที่ แต่เป็นสิ่งที่ขึ้นๆลงๆตามประสบการณ์ของปัจเจก “ร่าง” เกย์ในซาวน่าจึงไม่ได้พิสูจน์ความสมบูรณ์แบบของร่างกาย แต่อนุญาตหรือยอมให้ร่างกายหลายๆแบบออกมาโลดแล่นในพื้นที่ของรักต่างเพศที่มีแต่ความอ่อนแอและเปราะบาง
จากการเก็บข้อมูลของผู้เขียน พบว่าเรือนร่างของเกย์ในซาวน่ามีหลายลักษณะดั่งที่อธิบายมาแล้วข้างต้น ในที่นี่ผู้เขียนต้องการวิพากษ์ความคิดของเลอแฟบร์ที่อธิบายว่า “ร่าง” ของมนุษย์จะถูกห่อหุ้มด้วยพื้นที่ซึ่งมีความหมายตามอุดมคติแบบทุนนิยม เช่น ร่างของผู้หญิงในบาร์อาจหมายถึงโสเภณี หรือ ร่างเปลือยบนชายหาดจะหมายถึงความเซ็กซี่ คำอธิบายเหล่านี้อาจใช้ไม่ได้กับ “ร่าง” ของเกย์ในซาวน่า กล่าวคือ ร่างของเกย์ในซาวน่ามิได้หมายถึง การเป็นโฮโมเซ็กช่วลที่เบี่ยงเบนจากศีลธรรมทางสังคม แต่ร่างของเกย์จะเปลี่ยนความหมายอยู่ตลอดเวลา มิได้ถูกห่อหุ้มด้วยความหมายเดียวตามที่สังคมกำหนดให้ ในแง่นี้ การเปิดเผย “ร่าง” ของเกย์ในซาวน่าก็เท่ากับเป็นการท้าทายความหมายของการมี “ร่าง” แบบต่างๆที่สังคมเคยนิยามเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น ความหล่อ หรือความอัปลักษณ์
พื้นที่แบบซาวน่าจึงมิได้กำหนดว่าผู้ที่อยู่ในซาวน่าต้องเป็น “เกย์” ในนิยามความหมายที่สังคมของรักต่างเพศหยิบยื่นให้ หากแต่พื้นที่ซาวน่าเปิดโอกาสให้เกย์ที่เข้าไปใช้บริการได้สร้างความหมายให้ตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชีวิต ความรัก เพศสัมพันธ์ มิตรภาพ และเรือนร่าง ความหมายที่เกย์แต่ละคนสร้างขึ้นอาจไม่สอดคล้องกับอุดมคติของทุนนิยม เช่น เกย์ที่มีรูปร่างอ้วนอาจคิดว่าตนเองมีเสน่ห์และน่าหลงใหล เขาอาจคิดว่าความอ้วนเป็นสิ่งที่น่าพอใจมากที่สุด ในขณะที่เกย์บางคนเกลียดความอ้วนและคิดว่าเป็นสิ่งที่น่าเกลียด การปะทะกันของความคิดเหล่านี้ทำให้การเปิดเผยร่างในซาวน่าไร้การควบคุม เกย์แต่ละคนต่างเลือกที่จะแสดงตัวตนผ่านการกระทำต่อร่างกายบางอย่าง เช่น การสวมสร้อยคอ การสักลายบนแขน หรือ ลำตัวเพื่อสร้างเสน่ห์ ซึ่งล้วนแล้วแต่ไม่เหมือนกัน
ผู้เขียนพยายามตั้งข้อสงสัยว่าเรือนร่างในซาวน่าเป็น “ร่าง” ที่ถูกจองจำภายในตรรกะและเหตุผลของทุนนิยมหรือไม่ หากทุนนิยมตามความหมายของเลอแฟบร์เป็นสิ่งที่ถูกแสดงผ่านพื้นที่จินตนาการ เช่น อาคารสถานที่ต่างๆ ซาวน่าก็อาจทำหน้าที่นั้น ในกรณีนี้เกย์ที่อยู่ในซาวน่าก็ไม่ต่างจากผู้ชายที่อยู่ในซ่องโสเภณี เพราะต่างตกอยู่ใต้ตรรกะของทุนนิยม หากถามว่าพื้นที่ทุกแห่งบนโลกนี้ถูกกำหนดและถูกควบคุมด้วยทุนนิยมใช่หรือไม่ คำตอบอาจจะไม่ใช่ เพราะยังมีพื้นที่อื่นๆที่ถูกสร้างและให้ความหมายด้วยความเชื่อและโลกทัศน์แตกต่างกัน เช่น อาคารบ้านเรือนของชนเผ่าที่ยึดถือจารีตประเพณีและสิ่งเหนือธรรมชาติ ชนเผ่าหลายแห่งเชื่อว่าที่อยู่อาศัยมีวิญญาณของบรรพบุรุษสิงอยู่ ดังนั้นการปฏิบัติต่อพื้นที่ในบ้านจึงต้องทำด้วยความเคารพและมีพิธีบวงสรวงผีบรรพบุรุษเพื่อให้วิญญาณเหล่านั้นคุ้มครองและปราศจากอันตรายหรือโรคภัยไข้เจ็บ
เลอแฟบร์พยายามทำให้เราเห็นว่าพื้นที่ “ธรรมชาติ” กับ พื้นที่ “จินตนาการ” เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันและอยู่ด้วยกันไม่ได้ เนื่องจากเลอแฟบร์ต้องการวิพากษ์ระบบทุนนิยมในวัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์ในการสร้างความหมายให้กับพื้นที่ ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างคนกับพื้นที่จะถูกจัดระเบียบ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพื้นที่ธรรมชาติ เช่น ภูมิประเทศและเรือนร่างของมนุษย์จะถูกควบคุมและให้ความหมาย ร่างกายจึงเป็นทั้งวัตถุทางธรรมชาติและวัตถุทางวัฒนธรรม ความสัมพันธ์ระหว่างเรือนร่างกับพื้นที่จะมีความหมายก็ต่อเมื่อ “ร่าง” นั้นปรากฎอยู่บนพื้นที่เฉพาะ เช่น ในซาวน่า บาร์ โบสถ์ วัด โรงเรียน และอื่นๆ ร่างในแต่ละพื้นที่จะมีความหมายต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ร่างของมนุษย์ยอมจะถูกให้ความหมายด้วยวิธีคิดที่แตกต่างกันอยู่แล้ว มนุษย์ต่างวัฒนธรรมจะให้คุณค่าต่อเรือนร่างไม่เหมือนกัน บางวัฒนธรรมอาจคิดว่าร่างเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เมื่อร่างนั้นตายไปแล้วก็จะกลับคืนสู่ธรรมชาติ ในสังคมชนเผ่าหลายแห่งการนิยามตัวตนเกิดจากการบูชาผีบรรพบุรุษ ลูกหลานที่เกิดมาในครอบครัวอาจได้ชื่อตามบรรพบุรุษ ซึ่งพวกเขาจะประกอบพิธีกรรมเพื่อบวงสรวงวิญญาณและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตัวตนในลักษณะนี้จึงมิได้นิยามจากเรือนร่างตามธรรมชาติแต่มาจากอำนาจเหนือธรรมชาติ ในบางวัฒนธรรม “ตัวตน” อาจเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เช่น จากสถานะคน ไปสู่สถานะศพ และเปลี่ยนเป็นวิญญาณ ตัวตนลักษณะนี้จะไม่สูญหายไปไหน บางวัฒนธรรมตัวตนเป็นเรื่องของความปลอดภัยและอันตราย เป็นความแข็งแรงกับความอ่อนแอ หรือเป็นการทำผิดศีลธรรม และการปฏิบัติตามประเพณี
แต่ในตะวันตกร่างอาจเป็นที่อยู่ของตัวตน เช่น ตัวตนที่สวย หล่อ ผอม อ้วน ฯลฯ ตัวตนเหล่านี้ต้องการนิยามที่แน่นอนว่าอะไรคือความสวย หรือ น่าเกลียด ตัวตนของชาวตะวันตกอาจมีประวัติศาสตร์ ซึ่งแต่ละยุคสมัยจะมองเห็นคุณค่าของตัวตนที่ต่างกัน ตัวตนในยุคทุนนิยมอาจเป็นตัวตนของความสมบูรณ์แบบ ที่ต้องการพรมแดนและขอบเขตที่ชัดเจน เพื่อจะบอกว่าร่างที่สวยแตกต่างจากร่างที่อัปลักษณ์อย่างไร แต่มิได้หมายความหมายตัวตนแบบนี้จะใช้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างคนกับพื้นที่ได้ทุกวัฒนธรรม หรือทุกเวลา
การอธิบายหรือการนิยามความหมายของสิ่งที่เรียกว่า “ร่าง” ในวัฒนธรรมตะวันตก อาจเกี่ยวพันกับความเชื่อเรื่อง “ตัวตน” และ “ความเป็นมนุษย์” สิ่งเหล่านี้มาจากสมมุติฐานที่อธิบายว่า “ร่าง” ตามธรรมชาติคือพื้นที่ทางสังคมที่ใช้แสดงออกถึงความเป็น “ตัวตน” กล่าวคือ เราจะแสดงออกถึงความเป็นตัวเราโดยพิจารณาจากเรือนร่าง อวัยวะ แขนขา รูปร่างหน้าตา ซึ่งจะถูกให้ความหมายว่ามันเป็นสิ่งที่สวยและสมบูรณ์หรือไม่ ตัวตนในลักษณะนี้เกิดจากปัญหาทางศีลธรรมของตะวันตกที่ต้องการสร้างความเป็นปัจเจกให้คนแต่ละคนแตกต่างกันด้วยรูปร่างหน้าตา ซึ่งถูกทำให้เชื่อว่ามันคือตัวตนที่แท้จริง เช่น คนอ้วนคิดว่าตัวตนของเขาคือความอ้วน คนสวยคิดว่าตัวตนของเขาคือความสวย เมื่อเป็นเช่นนี้ “ร่าง” ตามธรรมชาติก็จะถูกมองว่าเป็น “ความจริง” ของตัวตน ซึ่งได้นำไปสู่การจัดประเภทและแบ่งแยกมนุษย์
แอนดรูว์ สแตรทเทิร์น (2004) อธิบายว่าการมีตัวตนหรือการรวมเป็นรูปเป็นร่าง เป็นสิ่งที่มีความคลุมเคลือมาก เพราะ การมีรูปร่างอาจจะเกิดขึ้นนอกร่างกาย หรือไม่เกี่ยวกับวัตถุ ในขณะเดียวกันก็อาจไม่ใช่เรื่องของนามธรรมหรือสภาวะจิตใจ แต่เท่าที่ผ่านมาการศึกษาความมีตัวตนมักจะเอนเอียงไปในทางใดทางหนึ่ง สแตรทเทิร์นชี้ให้เห็นปัญหาของการมี “ร่าง” ในวัฒนธรรมตะวันตกที่แบ่งแยกว่าอะไรคือเนื้อหนังมังสา อะไรเป็นจิตวิญญาณ การแบ่งแยกนี้คือปัญหาของวิธีคิด การอธิบายถึงความมีตัวตนจึงเป็นเพียงคุณค่าทางวัฒนธรรมของยุคสมัย การรวมเป็นตัวตนอาจเป็นเพียงอุปมาอุปไมยที่ใช้เรือนร่างของมนุษย์เป็นที่แสดงออก
เลอแฟบร์ก็มีข้อจำกัดในการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างคนกับพื้นที่ คำถามคือ เราสามารถแบ่งแยกสิ่งที่เป็นธรรมชาติออกจากสิ่งที่เป็นจินตนาการได้อย่างง่ายๆหรือไม่ จากการศึกษาของผู้เขียนพบว่า เรือนร่างของเกย์ในซาวน่าเป็นทั้งร่างในจินตนาการและธรรมชาติในเวลาเดียวกัน ซึ่งสองสิ่งนี้ก็มิได้ขัดแย้งกัน ตัวอย่างเช่น เกย์คนหนึ่งมีรูปร่างอ้วน แต่มีรอยสักบนต้นแขน และตัดผมสกินเฮด เกย์ผู้นี้กำลังแสดงความหมายว่าเขามีความมั่นใจในตัวเอง เขาเดินเข้าไปในห้องฟิตเนสและออกกำลังกายด้วยอุปกรณ์ชนิดต่างๆ ในขณะเดียวกันก็พูดคุยเจรจากับคนรู้จัก เมื่อออกกำลังกายเสร็จแล้ว เขาก็เดินไปอาบน้ำ และเข้าไปอบตัวในซาวน่า เขาใช้เวลาอบตัวอยู่สักพักหนึ่ง ก็ออกมาชำระร่างกาย แล้วหามุมสงบมานั่งพักที่บาร์ เขาสั่งเครื่องดื่มที่มีอัลกอฮอล์มารับประทานและพูดคุยกับพนักงาน เมื่อมีคนรู้จักก็จะทักทาย ในเวลานั้นเขาได้เจอคนที่ถูกใจและเข้าไปคุยด้วย ไม่นานนักเขาและเพื่อนใหม่ก็เข้าไปในห้องส่วนตัวเพื่อร่วมรักและสำเร็จความใคร่ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็แยกจากกัน โดยไม่มีใครคาดเดาได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะดำเนินต่อไปอย่างไร
พฤติกรรมดังกล่าวข้างต้น มีการใช้เรือนร่างในความหมายของจินตนาการและธรรมชาติสลับไปมา เช่น การออกกำลังกายอาจหมายถึงการมีสุขภาพดี ความสมบูรณ์แข็งแรง และการมีหุ่นดี ซึ่งเป็นความหมายที่สังคมหยิบยื่นให้ แต่ในเวลาเดียวกันร่างที่อ้วนเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับการมีหุ่นดี ความอ้วนเป็นการแสดงออกตามธรรมชาติ เมื่อร่างกายสะสมไขมันมากเกินไป รูปร่างสัดส่วนต่างๆของจะขยายตัว พุงอาจจะเกิดขึ้น ต้นขาอาจจะใหญ่ขึ้น แก้มอาจมีขนาดใหญ่ขึ้น สิ่งเหล่านี้คือหลักฐานของธรรมชาติที่เกิดขึ้นบนร่างกายมนุษย์ นอกจากนั้นการกินอาหาร การอาบน้ำ การร่วมรัก ล้วนแล้วแต่เป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติ แต่มนุษย์แสดงออกมาด้วยความหมายบางอย่าง เช่น การกินเบียร์อาจแสดงถึงรสนิยม การร่วมรักในห้องที่มืด หรือห้องสว่างอาจให้อารมณ์ที่ต่างกัน สิ่งเหล่านี้คือการกระทำในซาวน่า
เรือนร่างของเกย์ในซาวน่าจึงมิได้มีเพียงร่างในจินตนาการ แต่ยังมีร่างของธรรมชาติที่คอยประกบและพร้อมจะแสดงตัวเองออกมา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ร่างในซาวน่าจะมีทั้งความกำยำ แข็งแรง สมส่วน อ้วน ผอม ดำ ขาว แก่ หนุ่ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวมากับผู้นั้น แต่เกย์แต่ละคนพยายามให้ความหมายกับสิ่งนี้ โดยการกระทำ ควบคุม จัดระเบียบเรือนร่างให้เป็นไปตามจินตนาการของตนเอง เราอาจเห็นคนอ้วนมีสไตล์ไม่เหมือนกัน เช่น คนอ้วนบางคนดูมีเสน่ห์เพราะตัดผมสกินเฮดหรือมีการเขียนหรือสักลายบนลำตัว แต่คนอ้วนบางคนอาจไม่มีเสน่ห์ เช่นเดียวกัน เกย์ที่มีรูปร่างดีบางคนอาจมีมนุษย์สัมพันธ์ดี แต่บางคนอาจถือตัวและไม่เป็นมิตรกับใคร ซึ่งอาจทำให้การมีรูปร่างดีของเขาหมดเสน่ห์ลงไป การแสดงความหมายเหล่านี้คือการเผยร่างที่เกิดจากประสบการณ์ของแต่ละคน
ดังนั้น การตกอยู่ใต้ตรรกะทุนนิยมอาจไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับการรู้ว่า “ร่าง” ของเกย์ในซาวน่ากำลังถูกต่อเติมเสริมแต่งด้วยจินตนาการและธรรมชาติ สองสิ่งนี้มิได้แยกจากกัน แต่เกิดขึ้นพร้อมกัน ร่างในซาวน่าจึงมิได้เป็นตัวแทนของ “โฮโมเซ็กช่วล” อย่างที่สังคมหยิบยื่นให้ หากแต่เป็นการเผยโฉมของความขัดแย้งต่างๆที่มนุษย์ไม่สามารถจัดระเบียบได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อจำกัดของร่างกาย สุขภาพ ความงาม ความต้องการทางเพศ และความปลอดภัยในชีวิต ความขัดแย้งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องเผชิญหน้าตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เกย์ หรือเพศอื่นๆ อาจกล่าวได้ว่าซาวน่าเกย์มิใช่มุมอับของคนชายขอบ มิใช่สถานที่ที่เกย์จะมาปลดปล่อยตัวเอง มิใช่พื้นที่ที่ถูกควบคุมจากอำนาจ มิใช่ทาสของระบบทุนนิยม และมิใช่แดนสวรรค์ของชายรักชาย หากแต่เป็นพื้นที่ของการเย้ยหยัน ซึ่งอาศัยเรือนร่างเป็นเครื่องมือ “ร่าง” จะสมรู้ร่วมคิดกับ “พื้นที่” เพื่อเย้ยหยันความหมายต่างๆ จึงไม่น่าแปลกใจว่า ร่างของเกย์อาจกำลังเย้ยหยันตัวมันเอง
คำถามคือ การเย้ยหยันทำงานได้อย่างไร และทำไมต้องเป็นซาวน่า เนื่องจากพื้นที่ซาวน่าเกย์เป็นพื้นที่พิเศษ มีกิจกรรมหลายอย่างที่ท้าทายระบบศีลธรรมทางสังคมเกิดขึ้นในนั้น ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนคู่นอน การทำเซ็กหมู่ การดูหนังโป๊ การทำอนาจาร การสำเร็จความใคร่ การเปลือยกายในที่สาธารณะ และการโกหกหลอกลวง การกระทำเหล่านี้ สังคมอาจประณามว่าชั่วช้า ผิดศีลธรรม วิปริต ผิดธรรมชาติ และมักมากในกาม การแสดงออกทางเพศในซาวน่าเกย์จึงทำให้ “การเย้ยหยัน” ทำงานได้ กล่าวคือ อะไรก็ตามที่สังคมพยายามปกปิด ควบคุม และจัดระเบียบ จะไร้ความหมายทันทีเมื่ออยู่ในซาวน่า เมื่อศีลธรรมทางสังคมถูกเย้ยหยัน ศีลธรรมก็จะกลายเป็นเพียงเรื่องเล่าที่มีไว้สำหรับคนบางคน การเย้ยหยันจะมีพลังมากขึ้นเมื่อสิ่งที่สังคมเทิดทูนบูชามีค่าไม่ต่างจากสิ่งที่สังคมต่อต้าน เกย์ในซาวน่าทำให้พลังของการเย้ยหยันมีความรุนแรงขึ้น เพราะทำให้สิ่งที่ขัดต่อศีลธรรมมีรูปร่างหน้าตาที่จับต้องได้
อาจกล่าวได้ว่า “ร่าง” ในซาวน่า มิใช่ร่างของศีลธรรม แต่เป็นร่างที่ทำให้ความชั่วช้าเป็นความ “งดงาม” ร่างที่พยายามสร้างความหมายใหม่ให้กับความชั่วและสิ่งอื่นใดที่สังคมปฏิเสธ การมีอยู่ของความชั่วมิได้หมายถึงการทำลายสังคม แต่หมายถึงการยอมให้ “ร่าง” พิสูจน์ข้อจำกัดของความดี เรือนร่างที่เปลือยเปล่าในซาวน่าอาจกำลังทดลองนำความชั่วมาผสมรวมกับความดี เช่นเดียวกับที่นำร่างธรรมชาติมาอยู่รวมกับร่างจินตนาการ เมื่อทุกอย่างถูกนำมารวมกัน สิ่งที่เกิดขึ้นอาจเป็นอาการของคนที่กำลังหลับฝัน หรือสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ซึ่งเมื่อมองไปรอบๆ ทุกอย่างอาจเชื่อถือไม่ได้ อาการเช่นนี้บอกให้เรารู้ว่าความจริงต่างๆอาจมิใช่อย่างที่เราคิด สิ่งที่เรามองเห็นอาจมิได้เป็นอย่างนั้น แม้แต่ตัวเราก็อาจเป็นสิ่งอื่นที่เราไม่เคยคิดมาก่อน
บทเรียนแห่งการเย้ยหยัน
บทความเรื่องนี้ต้องการเสนอว่า พื้นที่ซาวน่าของเกย์ มิได้ทำให้เกย์ค้นพบความฝันของตัวเอง และมิได้เป็นพื้นที่ของตรรกะแบบทุนนิยม หรือตรรกะแบบใดๆก็ตาม เพราะความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพื้นที่มิได้มีโครงสร้างที่จับต้องได้ แต่ความสัมพันธ์นี้ถูกสร้างมาจากภาพมายาหลายส่วน ทั้งประสบการณ์ของปัจเจกที่มีไม่เท่ากัน รวมถึงเรื่องแต่งของแนวคิดทฤษฎีต่างๆ การใช้พื้นที่ซาวน่าของเกย์แต่ละคนล้วนมีความแตกต่างหลากหลายอย่างที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้น การทำความเข้าใจซาวน่าเกย์จึงต้องมองจากหลายมิติ ซาวน่ามิใช่สัญลักษณ์ที่ตายตัวของโฮโมเซ็กช่วล มิใช่พื้นที่ของการแย่งชิงอำนาจ มิใช่เวทีของการแสดงละคร มิใช่สถานที่ปลดปล่อยของเกย์ที่ถูกสังคมกดขี่ข่มเหง และมิใช่แบบทดสอบทางทฤษฎี
ผู้เขียนอาจตั้งคำถามว่าทำไมซาวน่าเกย์จึงสะท้อนความเป็นเกย์ แต่คำตอบอาจอธิบายว่าเพราะซาวน่าทำให้เกย์ได้พบคนรัก ได้ปลดปล่อยความต้องการทางเพศ ทำให้เกย์ได้แสดงความคิดและความรู้สึกของตัวเอง ซึ่งเป็นคำตอบที่ง่ายเกินไป ฉะนั้นผู้เขียนจึงพยายามข้ามพ้นไปจากการตั้งคำถามแบบเดิมๆ ที่อาจมีคำตอบในตัวเองอยู่แล้ว คำถามที่ผู้เขียนสนใจมาพร้อมกับปัญหาของการอธิบายความจริงซึ่งเป็นปัญหาร่วมกันของนักวิชาการสายสังคมศาสตร์ในปัจจุบัน ในที่นี้ผู้เขียนพยายามชำแหละพื้นผิวบางๆของสิ่งที่เรียกว่า “การทำความเข้าใจ” เพราะสิ่งนี้เป็นเพียงวิธีวิทยาที่ใช้ศึกษาปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม คำถามคือ เราสามารถเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างจากคำอธิบายที่เราสร้างขึ้นมาได้หรือไม่ หรือว่าสิ่งที่เราอธิบายเป็นแค่เพียงการสร้างความจริงอีกแบบหนึ่ง
ขณะที่ผู้เขียนกำลังสร้างคำอธิบายอยู่นี้ ผู้เขียนกำลังตั้งคำถามต่อวิธีการสร้างคำอธิบายเหล่านั้น สิ่งหนึ่งที่พบคือ ซาวน่าเกย์ไม่อาจเข้าใจได้จากแนวคิดของเลอแฟบร์อย่างโดดๆ และการอธิบายความจริงต่างๆที่เกิดขึ้นในซาวน่าก็มีข้อจำกัดหลายประการ ถึงแม้ผู้เขียนจะเข้าไปใช้ชีวิตในซาวน่าหลายครั้ง แต่ก็อาจมองเห็นแง่มุมบางมุม หรือมีอคติบางอย่างเกิดขึ้น หากบทความนี้พอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง ก็อาจจะเป็นเรื่องของความพยายามที่จะเข้าใจชีวิตของเกย์ด้วยทัศนะใหม่ ที่มิใช่ทัศนะแบบยกย่อง ขอความเห็นใจ ขอความเมตตาสงสาร ขอให้สังคมยอมรับ หรือประณาม แต่เข้าใจด้วยอาการหรือท่าทีที่หวาดระแวงสงสัยอยู่ตลอดเวลา ท่าทีเช่นนี้ทำให้ผู้เขียนมองเห็นชีวิตเกย์เป็นเรื่องของการเย้ยหยัน ซึ่งมีความเชื่อต่างๆเกิดขึ้นในการเย้ยหยันเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อในตัวตนที่แท้จริงของเกย์ เชื่อว่าการเป็นเกย์คือสิทธิและความเท่าเทียม เชื่อว่าตนเองกำลังอยู่ในยุคสมัยที่ยอมรับผู้ที่เป็นเกย์ และ เชื่อว่าตนเองสามารถทำอะไรก็ได้ ความเชื่อเหล่านี้มีอยู่ในความคิดของเกย์ที่ไม่เท่ากันและเกย์ผู้นั้นก็กำลังเย้ยหยันตัวเองโดยที่ตนเองลืม
ซาวน่าอาจถ่ายทอดประสบการณ์เหล่านี้ผ่านคำบอกเล่าของเกย์แต่ละคน แต่ในเวลาเดียวกัน ผู้เขียนก็ไม่เห็นว่าคำบอกเล่าเหล่านั้นเป็นตัวแทนของความจริงใดๆ ประสบการณ์ของเกย์แต่ละคนไม่สามารถเป็นตัวแทนของความจริงได้ นอกจากเป็นแค่เพียงตัวแทนของสิ่งที่เรียกว่า “ความจริง” ชีวิตของเกย์ไทยในปัจจุบันอาจตรงกับตัวแทนความจริงเรื่องใดก็ได้ และตัวแทนเหล่านั้นก็กำลังถูกท้าทายจากตัวแทนใหม่ตลอดเวลา เราอาจจะบอกว่าเกย์ไทยปัจจุบันกำลังตกเป็นทาสของทุนนิยมซึ่งกำลังใช้ความเป็น “เกย์” เพื่อธุรกิจ และเกย์กำลังกลายเป็นสินค้า สิ่งนี้อาจเป็นตัวแทนความจริงของใครบางคน บางคนอาจเชื่อ แต่บางคนอาจปฏิเสธ
ผู้เขียนเคยเชื่อและเคยปฏิเสธความจริงเกี่ยวกับชีวิตเกย์หลายอย่าง เช่นเดียวกับกรณีศึกษาซาวน่า ผู้เขียนพบว่าการเย้ยหยันความจริงต่างๆในซาวน่า ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกย์ตระหนักเลย เพราะสิ่งที่ผู้เขียนเรียกว่า “การเย้ยหยัน” คือสิ่งที่ย้อนกลับมาหาตัวผู้เขียนเช่นกัน พร้อมกับคำถามที่ว่า ชีวิตที่อยู่เพื่อการเย้ยหยัน กับชีวิตที่อยู่เพื่อความจริงนำไปสู่ทางออกที่ต่างกันอย่างไร
บรรณานุกรม
Beynon, John
2000. “Bathhouses and Sex Clubs” in George E. Haggerty (ed.) Gay Histories and Culture.
New York, Garland Publishing.
Brown, Michael P.
2000. Closet Space Geographies of Metaphor from the Body to the Globe. London, Routledge.
Chauncey, George
1994. Gay New York : Gender, Urban Culture, and the Making of Gay Male World 1890-1940.
New York, Basic Books.
Lefabvre, Henry
1991. The Production of Space. Trans. D. Nicholson-Smith. Oxford, UK. And Cambridge, MA., Blackwell.
Mauss, Marcel
1979. Sociology and Psychology :Essays. Trans B. Brewster. London, Rputledge and Kegan Paul.
Shilling, Chris
2003. The Body and Social Theory. London, Sage Publication.
Strathern, Andrew J.
2004. Body Thoughts. Ann Arbor, The University of Michigan Press.
Web-Site
www.adamsociety.net
Add comment